บทที่ 4 เลือกตำรายุทธ

ส่วนชั้นที่ 2 ขั้นไปจะเป็นส่วนของตำรายุทธ หอตำรายุทธนั้นถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 ชั้น ชั้นแรกจะตำราทั่วไป ส่วนชั้นที่ 2 จะเป็นตำรายุทธขั้นต้น ชั้นที่ 3 ตำรายุทธขั้นกลาง ชั้นที่ 4 ตำรายุทธขั้นสูง และชั้นที่ 5 ตำรายุทธขั้นก่อเกิด ที่มีอยู่เพียงไม่กี่เล่มในสำนักยี่หยวน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เย่ชีเหวิน ไม่ทราบว่าบุคคลนี้มีชื่อว่าอะไร แต่ผู้คนมักเรียกเขาว่า ผู้เฒ่าม้อ แม้ว่าจะไม่ทราบถึงสถานะของชายเฒ่าผู้นี้ แต่เขาก็สามารถคาดเดาได้ว่าผู้เฒ่าม้อนั้นควรที่จะเป็นผู้อาวุโสของสำนักยี่หยวน ดังนั้น เย่ชีเหวิน จึงให้ความเคารพแก่ผู้เฒ่าม้อเสมอเมื่อพบเขา

          "อ่าวเจ้าหนุ่มเย่เจ้ามาทำอะไรที่นี่?,เจ้าต้องการที่จะอ่านตำราอย่างนั้นรึ?,ประวัติศาสตร์หรือว่าภูมิศาสตร์หล่ะ?" ผู้เฒ่าม้อ ปิดตำราในมือและกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เขามีความประทับใจในตัวของ เย่ชีเหวิน อยู่ไม่น้อย หลังจากที่เด็กน้อยคนนี้เป็นคนนิสัยดีและสุภาพกับเขาอยู่เสมอ นอกจากนี้คือมันมีอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นในปัจจุบันนี้ที่จะทำให้ใจสงบได้โดยเพียงแค่อ่านตำรา เพราะเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้นั้น มักเป็นพวกเกียจคร้านและใจร้อนมากขึ้นทุกวัน

          "ท่านผู้เฒ่าม้อ,ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อเลือกตำรายุทธ!" เย่ชีเหวิน กล่าว

          "ตำรายุทธ?" แววตาของผู้เฒ่าม้อเปล่งเป็นประกายโดยมิอาจบรรยายได้ "นี่เจ้าหักผ่านก่อตั้งขั้น 4 แล้วอย่างนั้นรึ?"

          "ไม่เลว,ไม่เลว,ฮ่าฮ่าฮ่า!" ผู้เฒ่าม้อหัวเราะอย่างเต็มที่โดยไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้ ในสายตาของเขา เย่ชีเหวิน ก็เปรียบเหมือนกับหลานแท้ๆคนหนึ่ง

          "ในเมื่อเจ้าต้องการเลือกตำรายุทธ,จงระมัดระวังให้ดี,อย่าให้ความโลภกัดกินจิตใจเจ้า,เพราะมันอาจทำให้พัฒนาการของเจ้านั้นต้องหยุดลง,ฉะนั้นโปรดเลือกในสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเจ้าเท่านั้นเป็นพอ!" ผู้เฒ่าม้อกล่าวเตือน แม้ว่าเขาจะกล่าวกับศิษย์ทุกคนที่มาที่นี่ แต่สำหรับ เย่ชีเหวิน แล้วนั้นน้ำเสียงของเขาดูจริงจังเป็นพิเศษ

สำหรับหนุ่มสาวสมัยนี้ พวกเขาส่วนมากในช่วงเริ่มต้นมักจบลงด้วยการไม่สนใจในสิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง บางคนก็คิดว่าตนเองนั้นสูงส่ง บางก็เชื่อว่าตนเองมีพรสวรรค์ที่ได้รับมาชั้นฟ้า แต่ผลสุดท้ายเสื้อยังไงก็ไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นสุนัขได้ พยายามที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่เกินกำลังของตน สุดท้ายก็ต้องจบลงด้วยความล้มเหลวไม่เป็นท่า ในกรณีนี้มีเพียงแค่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งคนส่วนมากในกลุ่มคนเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกฝนวิชาเฉพาะทาง

          "ขอขอบคุณสำหรับคำเตือนท่านผู้เฒ่าม้อ,ข้าจะจำคำพูดของท่านเอาไว้ให้ขึ้นใจ!" เย่ชีเหวิน กล่าวขอบคุณผู้เฒ่าม้อพร้อมกับโค้งคำนับเพื่อเป็นการแสดงเคารพ

การฝึกฝนวรยุทธก็คือการอ่านตัวอักษรจากตำรา ซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่ายเลยที่จะการอ่านให้เข้าใจ ในขณะที่ก่อนหน้านี้ เย่ชีเหวิน ก็ยังจำเป็นที่จะต้องอ่านตำราอย่างละเอียดให้จบเล่มเสียก่อนถึงจะสามารถอ่านเล่มถัดไปได้ แต่ในเวลานี้เขาสามารถอ่านหลายๆเล่มได้ในเวลาเดียว ซึ่งนั่นก็ต้องขอบคุณผลพวงที่ได้มาจาก"พื้นที่ลึกลับ"

          "ดี,ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว,ชายชราผู้นี้ก็จะไม่กล่าวถึงมันอีก,เจ้าเข้าไปได้แล้ว!" ผู้เฒ่าม้อโบกมือกล่าวพร้อมกับเอนลงบนเก้าอี้โยกและอ่านตำราเล่มสีเหลืองเช่นเดิม

เย่ชีเหวิน ได้ก้าวเข้ามาด้านในของหอตำรายุทธและคิดว่าบุคคลเช่นผู้เฒ่าม้อนั้นไม่อาจคาดเดาได้ อนึงมันอาจคาดเดาได้ถึงสถานะของเขาภายในสำนักยี่หยวน เนื่องด้วยความเป็นจริงที่ว่าเขานั้นเป็นผู้เฝ้าเพียงคนเดียวของหอตำรายุทธ มันจะเป็นไปได้อย่างนั้นหรือที่พวกเขาจะส่งชายชราทั่วไปมาดูแลสถานที่อันสำคัญเช่นนี้ แต่ในทุกครั้งที่ เย่ชีเหวิน มายังที่นี่เขาก็คิดว่าการหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโลกใบนี้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ฉะนั้นเขาจึงรีบเร่งเข้าไปยังหอตำรายุทธอย่างรีบร้อนโดยที่ไม่แม้แต่จะสนใจผู้เฒ่าม้อ เพราะไม่ว่าจะมองยังไงชายเฒ่าผู้นี้ก็คล้ายคลึงกับชายชราทั่วไปไม่เป็นอื่น แต่ถึงอย่างนั้น คนธรรมดาเช่นเขาจะมาเฝ้าสถานที่อันสำคัญโดยไร้ซึ่งผู้ช่วยเช่นนี้ได้เช่นไร นี่จึงเป็นข้อสรุปที่แสดงให้เห็นอย่างชี้ชัดว่าผู้เฒ่าม้อนั้นมีความสามารถมากพอ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่ว่าเขาจะได้รับความเชื่อถือที่อยู่ในระดับที่สูงมากจากสำนักยี่หยวน ดังนั้นจึงมีเพียงแค่ความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น นั่นก็คือความแข็งแกร่งของท่านผู้เฒ่าม้อนั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก จนคนที่ไม่มีความสามารถมากพอก็ไม่อาจมองเห็นผ่านการบ่มเพาะพลังของท่านผู้เฒ่าได้

นอกจากนี้ก็ยังสามารถคาดเดาได้อีกว่าเขาควรที่จะมีสถานะที่สูงมากภายในสำนัก แต่ก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเหตุใดเขาถึงมาเฝ้าหอตำรายุทธเช่นนี้ ด้วยสถานะที่สูงส่งเช่นเขา แม้ว่าหอตำรายุทธจะเป็นสถานที่อันสำคัญของสำนักยี่หยวน แต่ก็ไม่ได้มีอำนาจมากมายนัก

แต่ เย่ชีเหวิน ก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามท่านผู้เฒ่าม้อก็ไม่ใช่ศัตรู แต่กลับกันเขาเป็นชายชราที่แสนดีสำหรับเขา

หอตำรายุทธของสำนักยี่หยวนนั้นมีขนาดใหญ่กว้างขวางและซับซ้อน ตำรายุทธมากมายถูกจัดหมวดหมู่เรียงตามลำดับจากตำราขั้นพื้นฐานจนไปถึงตำราขั้นก่อเกิด ตำรายุทธขั้นก่อเกิดนั้นเป็นตำรายุทธอันล้ำค่าและหายาก ตำรายุทธขั้นพื้นฐานถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นประเภท หมัดมวย ฝ่ามือ หรือกระทั่งประเภทการใช้ขาและประเภทต่างๆที่จำแนกออกไป แต่อย่างไรก็ตาม หากในภายภาคหน้าวรยุทธที่ใช้นั้นมีระดับที่ต่ำมากเกินไป เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีทักษะ วรยุทธเหล่านี้ก็อาจไม่สามารถสร้างรอยบาดแผลหรือหลบหนีเอาตัวรอดจากศัตรูได้

วรยุทธขั้นพื้นฐานนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทักษะประเภทกระบี่ หมัดมวย หรืออื่นๆ

ดังนั้น เย่ชีเหวิน จึงเริ่มเสาะหาวรยุทธขั้นพื้นฐานและสิ่งที่ดึงดูดใจเขามากที่สุดก็คือ"ฝ่ามืออสนีบาต" เขาเคยเห็นพี่ชายของเขา เย่ฟง ฝึกฝน"ฝ่ามืออสนีบาต"มาก่อนและมันได้สร้างความประทับใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความเร็วในการโจมตีของ"ฝ่ามืออสนีบาต"นั้นรวดเร็วเป็นพิเศษ อีกทั้งความรุนแรงของมันก็ค่อนข้างดี แม้ว่าการโจมตีของวรยุทธขั้นพื้นฐานนั้นจะไม่ถือว่าอ่อนแอเมื่อฝึกจนถึงระดับขั้นสูงสุด นอกจากนี้หลังจากที่ฝึกฝน"ฝ่ามืออสนีบาต"จนไปถึงระดับสูงสุดแล้ว ทุกครั้งที่ปล่อยฝ่ามือออกไปมันจะส่งเสียงร้องออกมาทั้งหมดเป็นจำนวน 9 ครั้ง หรือก็คือเป็นขั้นที่ 9

เย่ชีเหวิน ไม่ต้องการที่จะอยู่เพียงชั้นแรกและก้าวขึ้นไปบนชั้นที่ 2 แต่ระหว่างขั้นบันไดชั้นแรกกับชั้นที่ 2 นั้นมีเยื้อหุ่มบางๆกั้นอยู่ ซึ่งเมื่อ เย่ชีเหวิน เดินผ่านเยื้อหุ้มบางๆนี้มันก็ทำให้เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย แต่มันก็มิได้สร้างความลำบากให้กับเขามากมายนัก หลังจากนั้น เย่ชีเหวิน ก็ก้าวเดินขึ้นไปอย่างผ่อนคลาย

เย่ชีเหวิน ทราบดีว่าเยื้อหุ้มบางๆนี้ไม่สามารถปิดกั้นเขาได้ แต่มันมีไว้เพื้อป้องกันไม่ให้ผู้เยี่ยมยุทธที่มีระดับการบ่มเพาะพลังที่ต่ำกว่าก่อตั้งขั้น 4 ขึ้นไป มีเพียงแค่ผู้เยี่ยมยุทธที่มีการบ่มเพาะพลังก่อตั้งขั้น 4 ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถก้าวขึ้นไปได้

เย่ชีเหวิน มีความสนใจกับ"ฝ่ามืออสนีบาต"เพียงอย่างเดียว ฉะนั้นเขาจึงสามารถค้นพบมันได้อย่างรวดเร็ว

เย่ชีเหวิน เปิดตำราและเริ่มจดจำเนื้อหาที่อยู่ภายใน ตำราพวกนี้ถูกจัดหมวดหมู่ว่าเป็นตำราลับซึ่งถูกห้ามไม่ให้นำกลับออกไปภายนอก แต่สามารถคัดลอกเนื้อหาที่อยู่ภายในได้ แต่น่าเสียดายที่ เย่ชีเหวิน ไม่ได้นำปากกาหรือกระดาษขึ้นมาด้วย ฉะนั้นจึงเหลือเพียงแค่ทางเลือกเดียวนั่นก็คือจดจำเนื้อหาที่อยู่ภายในทั้งหมดไว้ในหัวของเขา ซึ่งหากเป็นคนส่วนใหญ่พวกเขาคงเลือกที่จะกลับไปและเอากระดาษปากกากลับมายังที่นี่

เย่ชีเหวิน ได้จดจำเนื้อหาทั้งหมดภายในตำราได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นเขาก็พับปิดและเก็บมันกลับเข้าไปที่เดิม ก่อนที่เขาจะเดินลงจากบันไดและก้าวออกไปจากหอตำรายุทธ

ผู้เฒ่าม้อที่อ่านตำราเล่มเก่าๆอยู่ในลักษณะผ่อนคลายนั้นเมื่อเขาเห็น เย่ชีเหวิน เขาก็เปิดปากกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม "เจ้าเลือกเสร็จแล้วรึ?"

เย่ชีเหวิน พยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า "ใช่,ข้าเลือก,ฝ่ามืออสนีบาต!"

          "ฝ่ามืออสีบาต? อืม,นับว่าเป็นวรยุทธที่ไม่เลว!" ผู้เฒ่าม้อ ว่ากล่าว "แต่มันอาจจะดีกว่านี้,ไม่ว่ายังไงนี่ก็ยังเป็นวรยุทธที่ใช้ฝ่ามือเป็นหลัก,เจ้าควรหาโอกาศเลือกวรยุทธที่ใช้อาวุธเป็นหลักดูบ้างในภายภาคหน้า,มิเช่นนั้นหากเจ้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีทักษะ,เจ้าอาจถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเอาได้!"

          "อืม!" เย่ชีเหวิน พยักหน้า

          "หากเจ้าต้องการที่จะฝึกฝนวรยุทธประเภทอื่นอีก อย่างน้อยเจ้าก็ควรฝึกฝน"ฝ่ามืออสนีบาต"ให้ถึงขั้นที่ 6 เสียก่อนหรืออาจจะสูงกว่านั้น แม้ว่าการมีวรยุทธที่หลากหลายจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ข้าคิดว่าการเชี่ยวชาญวรยุทธใดวรยุทธหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้าเองก็น่าจะทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว!"

          "ขอบคุณท่านผู้เฒ่าม้อที่คอยชี้แนะ!" เย่ชีเหวินกล่าว "แต่เด็กคนนี้คงต้องขอตัวลา!"

          "ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปได้แล้ว!" ผู้เฒ่าม้อ จับจ้องมองไปที่ เย่ชีเหวิน อีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเริ่มกลับมาอ่านตำราเล่มเก่าๆดั่งเดิม พร้อมกับเอนตัวลงนั่งบนเก้าอี้โยกด้วยลักษณะผ่อนคลาย

เย่ชีเหวิน ทราบดีว่าผู้เฒ่าม้อนั้นเป็นเช่นนั้นเสมอ ฉะนั้นเขาจึงหันกลับไปและมุ่งหน้ากลับไปที่ลานของตน

2 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม