บทที่ 8 - ดินแดนก่อตั้งขั้น 5

ในขณะที่งูหลามสีรุ้งเคว้งคว้างไปไกลนับหลายเมตรก่อนที่จะร่อนลงกระแทกพื้นจนเกิดเสียงดัง เพียงชั่วพริบตามันก็ได้พุ่งกระโจนเข้าใส่ เย่ชีเหวิน อีกครั้งด้วยหางของมันที่ตวัดฟาดเข้ามาอย่างรุนแรง หางของมันนั้นก็แทบมิแตกต่างอะไรไปจากแผ่นเหล็ก นอกจากความโหดเหี้ยมของมันแล้ว ความแข็งแรงของมันก็เทียบเท่าได้กับขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ 2 ตัว

แม้ว่าในหมู่สัตว์อสูรตระกูลอสรพิษ มันจะมิได้ถูกพิจารณาว่าเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุด แต่หางของมันที่ฟาดเข้ามานั้นด้วยการบ่มเพาะพลังที่อยู่ในระดับก่อตั้งขั้น 5 และความแข็งแรงที่มีมากกว่า 1,000 จิน หากรับการโจมตีของมันเข้าไปโดยตรง แม้แต่กระดูกก็ยังต้องป่นปี้

          "ปัง!" ฝ่ามือทั้ง 2 ของ เย่ชีเหวิน ได้ยื่นออกไปข้างหน้าและกระแทกเข้ากับหางของมันอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงของเหล็กตีกันดังสะท้อนกึกก้องไปทั่ว

เย่ชีเหวิน ตะโกนออกมาอย่างเสียงดังพร้อมกับจับหางของมันเอาไว้แน่น แน่นอนว่าการโจมตีก่อนหน้านี้มันได้สร้างความเสียหายให้กับเขาอยู่บาง แต่ที่ฝ่ามือของเขาได้ปรากฏเส้นเลือดสีเขียวปูดนูนยาวมาจนถึงข้อศอกและลามไปทั่วทั้งแขน เพียงชั่วพริบตาพละกำลังของเขาได้ไหลพล่านไปทั่วร่างพร้อมกับโยนร่างของงูหลามสีรุ้งขึ้นไปบนท้องฟ้า


          "ฟิ้ว!" น้ำหนักของงูหลามสีรุ้งนั้นมีมากกว่า 100 จิน แต่กลับถูกโยนขึ้นไปบนฟ้าอย่างโหดเหี้ยม จนเกิดเสียงแหวกอากาศ

          "ตูม!" เสียงดังที่เกิดขึ้นเพราะมีบางอย่างตกลงไปจากหน้าผา

งูหลามสีรุ้งขดตัวเพราะอาการบาดเจ็บที่มันตกลงมาจากหน้าผาอย่างรุนแรง เม็ดเลือดค่อยๆไหลซึมออกมาจากร่างกายของมันตั้งแต่หัวจรดหาง เห็นได้ชัดมันได้รับความเสียหายที่ค่อนข้างจะรุนแรงและมันก็กำลังพยายามที่จะหนี แต่มีหรือที่ เย่ชีเหวิน จะปล่อยให้มันทำเช่นนั้น? เขาค่อยๆย่างกายเข้าไปใกล้มันและกระทำกับมันดั่งเช่นก่อนหน้านี้


          "ตูม!"

          "ตูม!"

          "ตูม!"

เพียงใช้เวลาไม่นานงูหลามสีรุ้งก็ได้สิ้นลมไปในที่สุดด้วยเงื้อมมือของ เย่ชีเหวิน

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เย่ชีเหวิน ก็ยังมิอาจวางใจได้ หลังจากที่เขาได้เอาดวงจิตอสูรของงูหลามสีรุ้งออกมา เขาก็ได้ปีนขึ้นไปคว้าเอาผลไม้แกนโลกออกมาด้วยเช่นกัน

หลังจากนั้นเขาก็ได้รีบเร่งออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เพราะกลิ่นอายคาวเลือดที่แพร่กระจายออกไป มันอาจดึงดูดพวกสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ในหุบเขาละแวกนี้ได้ ซึ่งหากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นมันคงนำมาซึ่งปัญหาและเขาคงไม่อาจหลีกหนีได้ ถึงแม้จะบอกว่าสถานที่แห่งนี้ได้อยู่ในบริเวณรอบนอกของหุบเขาและอาจไม่มีสัตว์อสูรที่น่ากลัว แต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่ดีหากมีพวกสัตว์อสูรมารวมตัวกันเป็นหมู่คณะ หากเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นเขาคงไม่มีเวลามาบ่นหรือเสียใจกับความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นแน่

บนหุบเขาลูกนี้นั้นล้วนเต็มไปด้วยพวกสัตว์อสูรมากมาย เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปกป้องตนเองให้มีชีวิตรอด เหตุผลที่สำนักยี่หยวนมาตั้งรกรากอยู่บนหุบเขาฉิงฟงนั้นนั่นก็เพราะเพื่อข่มขู่ไม่ให้พวกสัตว์ร้ายหรือสัตว์อสูรอย่างกายเข้าใกล้หรือลงไปจากภูเขาเพื่อทำร้ายชาวบ้าน

เย่ชีเหวิน ใช้เวลาเพียงไม่นานในการกลับไปยังสำนักยี่หยวน แม้ว่าเขาจะจากมันไปนับหลายวัน แต่มันก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เย่ชีเหวิน เดินตรงไปที่ พระวิหารคณูปการ(การทำความดีความชอบ) ของสำนักยี่หยวน ในความเป็นจริงแล้วสำนักยี่หยวนนั้นรับผิดชอบหลายอย่างซึ่งรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเงินตราและการขนส่งสิ้นค้าซึ่งเป็นใจความสำคัญเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสำนัก อีกทั้งมันยังเป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับเหล่าศิษย์ภายใน

เย่ชีเหวิน เดินตรงมาที่หน้าทางเข้าพระวิหารและพบกับพนักงานต้อนรับ ซึ่งพนักงานเหล่านี้ล้วนทรงอิทธิพลอย่างมากภายในสำนัก แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะมิใช่ผู้อาวุโส แต่ก็ยังมีข้อบังคับว่าให้เคารพพวกเขา ซึ่งนั่นทำให้พวกเขามีอิทธิพลอย่างมากภายในสำนัก แม้ว่าความแข็งแรงโดยรวมของพวกเขจะมิได้ถือว่าดีแต่นั่นก็มิใช่ใจความสำคัญ ซึ่งศิษย์สามัญทั่วไปมิอาจทำอะไรพวกเขาได้

พนักงานตอนรับหนุ่มคนนี้มีนามว่า หวังชือ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเองก็เป็นศิษย์ของสำนักยี่หยวน และมีลักษณะนิสัยที่ค่อนข้างไม่สุภาพและเป็นคนหัวรุนแรง อีกทั้งเขายังเป็นพวกที่ชอบเลียแข้งเลียขาให้กับผู้มีอิทธิพล ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่ศิษย์ส่วนมากไม่ค่อยชอบขี้หน้าของเขาเสียเท่าไหร่นัก

ในขณะนั้นเอง หวังชือ ก็ได้ออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเย่อหยิ่ง "เจ้าต้องการแลกแต้ม?"

          "ไม่!" เย่ชีเหวิน ส่ายศีรษะขณะที่เขาเอาดวงจิตอสูรของ หมูเม่น และ งูหลามสีรุ้ง ออกมา "ข้าต้องการแลกเปลี่ยนดวงจิตอสูร 2 ดวงนี้กับผลึกศิลา!"

หวังชือ รับดวงจิตอสูรทั้ง 2 ดวงมาอย่างไม่เหลียวแลพร้อมกับตอบปากกลับไปว่า "ดวงจิตอสูรก่อตั้งขั้น 5 สามารถแลกเปลี่ยนศิลาวิญญาณระดับต่ำได้ 20 ก้อน มี 2 ดวงก็เท่ากับแลกได้ 40 ก้อน!"


          "ข้ายอมรับ!" เย่ชีเหวิน ตอบตกลงแม้ว่ามันจะมีความแตกต่างกันระหว่างดวงจิตอสูรทั้ง 2 ดวง ในกรณีที่เขาเลือกขายมันออกไปภายนอกเขาอาจจะได้ส่วนต่างจากนี้เพิ่มขึ้นมา 1 หรือ 2 ก้อน แต่ทว่าการแลกเปลี่ยนมันที่วิหารคณูปการนั้นมันให้ความสะดวกสบายกว่ากับการต้องเกินทางไกล

หลังจากที่ได้รับศิลาวิญญาณมาแล้ว เย่ชีเหวิน ก็หันหลังกลับและเดินจากไปในทันที เมื่อในตอนนี้เขามีศิลาวิญญาณถึง 40 ก้อนผนวกกับผลไม้แกนโลก ในตอนนี้หากเขาสามารถฝึกฝน"ฝ่ามืออสนีบาต"ไปจนถึงก้องที่ 9 ได้ก็คงมิใช่เรื่องแปลกอันใด ซึ่งหากเวลานั้นมาถึงทักษะของเขาก็อาจกล่าวได้ว่าอยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว

หลังจากที่ เย่ชีเหวิน ออกมาจากวิหารคณูปการเขาก็กลับมายังลานเล็กๆของเขา เวลาเริ่มค่อยๆกดดันเข้ามาเรื่อยๆแล้ว เขาในตอนนี้จำเป็นที่จะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งโดยเร็วที่สุด

เย่ชีเหวิน นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงของเขาพร้อมกับนำผลไม้แกนโลกออกมาและกินมัน ทันทีที่ผลไม้แกนโลกถูกกลืนลงไป มันก็กลายเป็นคลื่นความร้อนพลุ่งพล่านไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขา

คลื่นความร้อนได้เพิ่มพูนสูงขึ้นจากจุดภายในดันเถียนของเขา ร่างทั้งร่างของเขาต่างคลั่งไปด้วยไอความร้อน แม้แต่ใบหน้าของเขาก็ยังเผยให้เห็นเป็นสีแดง

พร้อมกับพลังปราณอันบ้าคลั่งได้ระเบิดออกมาจากร่างกายของ เย่ชีเหวิน

เย่ชีเหวิน เริ่มควบคุมการไหลเวียนของพลังปราณที่บ้าคลั่งภายในร่างกายของเขาและเริ่มปรับแต่งมัน ซึ่งสำหรับการปรับแต่งในครั้งนี้แน่นอนว่ามันจะยิ่งทำให้พลังปราณของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้พลังงานที่คับคลั่งอยู่ภายในร่างกายของเขาก็เริ่มทุเลาลง

พลังงานนับไม่ถ้วนได้ฉีกกระฉากเซลล์ภายในร่างกายของเขาจนหมดสิ้นและเริ่มกระบวนการสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งนั่นทำให้ใบหน้าของ เย่ชีเหวิน ถึงกับบิดเบี้ยวและเผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่มิอาจทานทนได้ ในทุกครั้งที่เซลล์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกฉีกออก มันก็ราวเหมือนกับโลกทั้งใบได้พังทลายลง แม้กระทั่งร่างกายของเขาก็ยังส่งเสียงร้องปริแตกออกมาเฉกเช่นเดียวกับเสียงพลุที่ดังไม่เป็นจังหวะ นี่เป็นประสบการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ฝึกยุทธที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

แทบจะในทันที เย่ชีเหวิน ได้ลุกขึ้นจากเตียงและเดินออกไปที่ลานเล็กๆของตนพร้อมกับตะโกนออกไปอย่างเสียงดังและเริ่มทำการตั้งท่าฝึกฝน"ฝ่ามืออสนีบาต" ภายในใจของเขาได้เผยให้เห็นภาพของบุคคลที่กำลังฝึกฝน"ฝ่ามืออสนีบาต" ปราณจิตวิญญาณ ได้ถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว จากศิลาวิญญาณของเขาที่เพิ่งนำไปแลกมาไหลบ่าเขาสู่ร่างกายของเขา

          "ปึง!" ภายในลานเล็กๆของ เย่ชีเหวิน ต่างเต็มไปด้วยเสียงกระหึ่มที่ดังสะนั่นกึกก้อง แม้ว่าร่างกายของเขาจะยังส่งเสียงร้องปริแตกออกมาอย่างไม่หยุด แต่ทว่าความแข็งแกร่งของเขากำลังเพิ่มขึ้นเช่นกันราวกับมังกรที่ทะยานขึ้นท้องฟ้า

ขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ 2 ตัว!

ขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ 2 ตัวครึ่ง!

ขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ 3 ตัว!

ขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ 4 ตัว!


ขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ 5 ตัว!


          "ปึง!" ในขณะนั้นเองที่เขาถูกผลักดันมาจนถึงจุดสูงสุดของก่อตั้งขั้น 4 ก็ได้เกิดคลื่นระเบิดพลังปราณออกมาอย่างบ้าคลั่ง!

ดินแดนก่อตั้งขั้น 5!

แต่อย่างไรก็ตามการปะทุของคลื่นพลังก็ยังไม่จบลง หลังจากที่ได้ตัดผ่านเข้าสู่ดินแดนก่อตั้งขั้น 5 คลื่นพลังปราณก็ยังพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่งและตัดผ่านเข้าสู่ ระดับกลางก่อตั้งขั้น 5 แต่ทว่ามันก็ยังไม่หยุดลงเพียงเท่านั้นและพุ่งทะยานสูงขึ้นจนตัดผ่านเข้าสู่ ระดับปลายก่อตั้งขั้น 5 และหยุดลงพร้อมกับคลื่นพลังไหลเวียนอันบ้าคลั่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็ได้จางหายไป

ขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ 5 ตัว!

ความแข็งแกร่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ที่เพิ่มขึ้นมาถึง 3 ตัว จนทำให้เขากลายเป็นผู้ครอบครองขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ 5 ตัว นั่นทำให้ความแข็งแรงของเขานั้นเทียบเท่าได้กับ ผู้เยี่ยมยุทธก่อตั้งขั้น 6 


          "ฮึม!" เสียงฝนฟ้าคะนองอันยิ่งใหญ่ เย่ชีเหวิน ได้ประสบความสำเร็จอีกครั้งกับ"ฝ่ามืออสนีบาต"ที่เดิมมีเพียงแค่ 7 ก้อคำราม แต่ด้วยความพยายามอย่างอุสาหะภายใน"พื้นที่ลึกลับ"จนทำให้เขาสามารถเข้าใจได้ถึงแก่นแท้ของเคล็ดวิชา"ฝ่ามืออสนีบาต"

          "ฮึม!" เสียงก้องที่ 8 ได้เล็ดลอดออกมาในที่สุด นี่เป็นสัญญาณอันดีเลยว่า เย่ชีเหวิน ใกล้ที่จะบรรลุถึงเคล็ดวิชา"ฝ่ามืออสนีบาต"สมบูรณ์แล้ว

ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวของ"ฝ่ามืออสนีบาต 8 ก้องคำราม"นั้นมันได้ยกระดับของเคล็ดวิชาให้มีความน่าสะพรึงกลัวเทียบเท่าได้กับ"วรยุทธ์ระดับกลาง"

-จบ-

แปลโดย : นายกะทิ 3B

3 ความคิดเห็น:

  1. ชอบ4bหัวดอท้ายบทมากครับ ขอบคุณที่แปลให้อ่านนะ

    ตอบลบ
  2. คำผิดค่ะ ** ร่องรอยของเลือด ** คุณใช้ ล่องลอยของเลือด.. ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม