บทที่ 9 - แก่งแย่งสมบัติ

เย่ชีเหวิน ทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทั้งยังมีคราบสิ่งปฏิกูลบางส่วนที่ไหลผ่านออกมาตามร่างกาย

          "ในที่สุดก็สามารถทะลวงผ่านก่อตั้งขั้นห้าได้เสียที อีกทั้งยังมีพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ห้าตัว ผนวกกับฝ่ามืออสนีบาตแปดก้องคำราม เส้นทางไปสู่ก่อตั้งขั้นหกก็คงอยู่อีกไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้าต้องเผชิญหน้ากับความก้าวหน้าที่รวดเร็วเพียงนี้!" เย่ชีเหวิน กล่าวอย่างมีความสุข

ในดินแดนก่อตั้งทั้งเก้าขั้น ในแต่ละขั้นนั้นจะมีความแตกต่างกันราวกับสวรรค์และปฐพี สำหรับผู้ฝึกยุทธที่ครอบครองขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์สองตัวจะสามารถทะลวงผ่านก่อตั้งขั้นห้าได้ ในขณะที่ก่อตั้งขั้นหกนั้นจำเป็นที่จะต้องครอบครองขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ห้าตัวหรือจำเป็นที่จะต้องมีพละกำลังที่มากกว่าสองพันห้าร้อยจิน!

ในแง่ของพลังต่อสู้ เย่ชีเหวิน อาจถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ชนชั้นสูงศิษย์ฝ่ายใน เนื่องด้วยพลังของเขาที่สามารถเทียบเคียงได้กับผู้เยี่ยมยุทธก่อตั้งขั้นหก แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาเลื่อนเป็นศิษย์หลักได้

เว้นเสียแต่ว่าเขาจะท้าทายสวรรค์ทะลวงผ่านเข้าสู่ก่อตั้งขั้นหก จึงจะเป็นเพียงความหวังเดียวที่จะทำให้เขาเลื่อนขึ้นเป็นศิษย์หลักได้

หลังจากความก้าวหน้าในการครอบครองขุมพลังอำนาจแห่งพยัคฆ์ห้าตัว เย่ชีเหวิน จึงได้ปล่อยหมัดออกไปใส่อากาศจนเกิดเป็นคลื่นกระแทกดังก้องออกไป ด้วยความแข็งแรงของเขาในตอนนี้ หากเทียบกับตัวเขาก่อนหน้านี้มันคงเป็นความแตกต่างราวกับสวรรค์และปฐพี

แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ราคาที่ต้องจ่ายไปนั้นก็ย่อมมากขึ้นด้วยเช่นกัน ผลไม้แกนโลกได้ถูกดูดซับไปอย่างสมบูรณ์แลกกับความเข้าใจในก้องสุดท้ายเคล็ดวิชาฝ่ามืออสนีบาต แต่ทว่าในการฝึกฝนฝ่ามืออสนีบาตแปดก้องคำรามนั้นมันได้ใช้ทรัพยากรไปเป็นจำนวนมาก

ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเสียงก้องคำรามที่แปดนั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด แม้จะยังมิได้อยู่ในจุดสูงสุดของเคล็ดวิชา แต่ด้วยพลังอำนาจของมันก็มิได้มีความด้อยไปกว่าวรยุทธ์ขั้นกลางเลยแม้แต่น้อย

เพื่อให้ได้ความแข็งแกร่งมาในระยะเวลาสั่น โดยการฝึกฝนวรยุทธ์ให้รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ก็จำเป็นต้องพึ่งพาศิลาวิญญาณหรือสมบัติล้ำค่าเฉกเช่นผลไม้แกนโลก แต่ศิลาวิญญาณในแต่ละก้อนนั้นก็ช่างหาได้ยากยิ่ง และสมบัติล้ำค่าก็มิใช่ว่าจะได้รับมาอย่างง่ายดาย เพื่อให้ได้มาอย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุดก็จำเป็นต้องออกล่าพวกสัตว์อสูรและเอาดวงจิตอสูรของพวกมันมา เพื่อนำไปแลกกับผลึกศิลาวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นการออกล่าพวกมันก็ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการต่อสู้ให้กับเขาอีกด้วย

หลังจากที่ได้ตัดสินใจเสร็จสรรพ เย่ชีเหวิน ก็ได้ออกเดินทางไปจากสำนักยี่หยวนและมุ่งหน้าไปทางด้านหลังของหุบเขาฉิงฟงในทันที

*******************************************

วันเวลาผ่านไปแล้วกว่าสามวันที่ เย่ชีเหวิน ได้ใช้เวลาอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาฉิงฟง การบ่มเพาะพลังของเขาได้รุดหน้าขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนถึงจุดสูงสุดก่อตั้งขั้นห้า ซึ่งแม้แต่พวกสัตว์อสูรก่อตั้งขั้นหกในหุบเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เย่ชีเหวิน ได้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรสูงสุดก่อตั้งขั้นหก ในเวลานั้นเขาเกือบต้องสูญเสียชีวิตของตนไปในปากของมัน

เมื่อชีวิตของเขาได้ถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย มันก็เริ่มทำให้เขาได้เข้าใจว่าการไม่มีอาวุธอยู่ในมือนั้นมันมิใช่เรื่องที่ดีนัก แม้ว่าการเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธด้วยกันมันอาจมิใช่เรื่องใหญ่ แต่การต้องมาเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเหล่านี้มันมิใช่เรื่องง่าย บาดแผลได้เกิดขึ้นไปทั่วร่างกายของเขา หลังจากที่มือของเขามิได้มีกรงเล็บและฟันของเขาก็มิได้แหลมคมเฉกเช่นพวกสัตว์อสูร

ในวันนี้เอง เย่ชีเหวิน ได้เดินทางข้ามผ่านหุบเขาและพบเข้ากับโสมแดงชนิดหนึ่งเหนือหน้าผาข้างหน้า เขาจำมันได้ว่าเขาเคยเห็นโสมแดงชนิดนี้มาก่อนในตำราบันทึก อันที่จริงโสมทั่วไปมีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพของพลังปราณให้กับผู้ฝึกยุทธ แต่ทว่าโสมแดงนั้นกลับมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมกว่าโสมทั่วไปนับหลายเท่าตัว

ทันทีที่เขาเห็นลักษณะของโสมแดงก็อนุมานได้ในทันทีว่ามันควรมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี และควรเป็นผลไม้ที่สุกงอมเต็มที่ หากโสมแดงชนิดนี้ตกมาอยู่ในมือของเขา เขาก็จะสามารถใช้โอกาสนี้ทะลวงผ่านเข้าสู่ก่อตั้งขั้นหกได้ในทันที ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึงเขาก็จะสามารถเลื่อนขึ้นเป็นศิษย์หลักได้ และในเวลานั้นก็จะไม่มีใครกล้าสบประมาทเขาได้อีก

ดังนั้น เย่ชีเหวิน จึงไม่มีความลังเลใดๆ และพร้อมที่จะปีนขึ้นไปบนหน้าผา การเคลื่อนไหวของเขาทั้งคล่องแคล่วว่องไวราวกับมีวิญญาณวานรมาเข้าสิง เพียงแค่ชั่วพริบตาเขาก็มาถึงยังตำแหน่งของโสมแดง

ทันทีที่มือของเขายื่นออกไปเพื่อที่จะคว้ามัน

          "ปัง!" ในขณะที่มือของ เย่ชีเหวิน กำลังจะคว้าถูกตัวมัน มันก็กับกลายเป็นก้อนกรวดแทนที่จะเป็นโสมแดง และเมื่อเขายกศีรษะขึ้นมองก็พบว่าโสมแดงนั้นได้ลอยไปไกลห่างจากตัวเขาแล้วกว่าร้อยเมตร

          "เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าโสมแดงนี่จะมันสติปัญญาที่ไม่ชัดเจน!" เย่ชีเหวิน รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ในโลกใบนี้มันมีสิ่งที่มีอำนาจลึกลับจำนวนนับไม่ถ้วน แม้แต่ก้อนกรวดที่ผ่านกาลเวลามาเป็นหลายร้อยล้านก็อาจบรรลุสติปัญญาได้ ฉะนั้นโสมแดงนี้จึงไม่ต่างอะไรไปจากสมบัติของสวรรค์ที่รวบรวมพลังอำนาจของสวรรค์และผืนดินเอาไว้ หากผ่านไปสักพันปี โสมธรรมดาก็อาจกลายเป็นโสมที่มีสติปัญญาได้ ซึ่งแน่นอนว่าบุคคลทั่วไปคงไม่อาจจับมันได้ทัน ด้วยพลังอำนาจแห่งธรรมชาติทำให้พวกมันสามารถเชื่อมต่อกับผืนดินและเดินทางติดต่อกันได้ถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตร ต่อวันหากจำเป็น ในขณะโสมโบราณที่มีอายุกว่าหมื่นปี สามารถแปลงเปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นมนุษย์หรือผูกวิญญาณเขาภูเขา

ดูเหมือนว่าโสมแดงนี้จะมีคุณค่าพอให้เรียกว่าเป็นโสมกลายพันธุ์ ทั้งที่มันมีอายุเพียงแค่ร้อยปี แต่กลับมีความสามารถอันน่าตื่นตาตื่นใจโดยการบรรลุสติปัญญาที่คลุมเครือ แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของมันได้จนกว่ามันจะเติบโตเต็มที่จนกลายเป็นโสมพันปี แต่ในตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นมันแล้วไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้มันเล็ดลอดออกไปได้

ในขณะนั้นเองภายในร่างกายของ เย่ชีเหวิน กำลังพลุ่งพล่านไปด้วยพลังปราณที่มีชีวิตชีวาและพวยพุ่งออกมาพร้อมกับร่างกายของเขาที่บินขึ้นไปบนท้องฟ้าและโฉบลงมายังตำแหน่งของโสมแดงราวกับพญานกอินทรีย์ที่กำลังโฉบเหยื่อ

          "ตึม!" เขาพุ่งตรงไปยังหน้าผาและคว้ามันเอาไว้ได้ในที่สุด โสมแดงไม่มีเวลามากพอที่จะหลบหนีจนในท้ายที่สุดมันก็ได้ตกอยู่ในกำมือของ เย่ชีเหวิน และถูกลากออกมาจากหน้าผาจนขาดการเชื่อมต่อกับผืนดิน เมื่อตัวของมันได้ถูกถอนรากออกมาจากผืนดินแล้วมันก็หมดสิ้นอำนาจในการเชื่อมกับผืนดินในทันทีหรือก็คือมันไร้ซึ่งเส้นทางหลบหนีในสิ้นเชิง

ไม่ช้าบนใบหน้าของ เย่ชีเหวิน ก็ได้ปรากฏให้เห็นถึงรอยยิ้มกว้าง หลังจากนั้นเขาก็ปีนลงมาจากหน้าผาอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามเขาจำเป็นที่จะต้องหาสถานที่อันสงบเพื่อทำการดูดซับมัน แต่ในขณะนั้นเองก็ได้มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา

          "เร็วเข้าโสมแดงมันอยู่ทางนี้!"

เย่ชีเหวิน หันกลับและพบว่ามีชายหนุ่มสามคนกำลังจ้องมองมาทางเขาราวกับเหมือนกับเขานั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกมัน

ในหมู่ชายหนุ่มทั้งสามคนมีสองคนที่มีอายุประมาณยี่สิบปี หนึ่งคนใส่ชุดคลุมสีดำส่วนอีกคนใส่ชุดคลุมสีม่วงและอีกคนเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุราวสิบเจ็ดปีเทียบเท่า เย่ชีเหวิน ซึ่งสวมชุดคลุมสีขาวและมีใบหน้าที่แสนอวดดี ในขณะนั้นเองชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำก็ได้เปิดปากกล่าวถาม

          "เจ้าเป็นศิษย์สำนักยี่หยวน!" ชายหนุ่มชุดคลุมดำกล่าวถามภายใต้น้ำเสียงที่ค่อนข้างอวดดีเล็กน้อยเมื่อมองตรงไปยัง เย่ชีเหวิน

          "ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าคงเป็นคนของตระกูลจาง?" ดวงตาของ เย่ชีเหวิน จับจ้องไปที่ไหล่ของพวกมันซึ่งมีป้ายสัญลักษณ์ของพวกคนตระกูลจางติดอยู่ดังนั้นเขาจึงเริ่มระมัดระวังมากขึ้น ภายในหุบเขาฉิงฟงที่ทอดยาวออกไปไกลหลายร้อยลี้มันอยู่สองมหาอำนาจที่ปกครอง ณ ที่แห่งนี้ หนึ่งในนั้นสำนักยี่หยวนและอีกหนึ่งคือคนตระกูลจาง

ภูมิหลังของสำนักยี่หยวนนั้นก็คือสำนักยี่หยวนสาขาหลัก ในขณะที่ภูมิหลังของตระกูลจางเองก็เป็นหนึ่งในสี่สำนักมหาอำนาจวิหารเทียนฟงที่มีอิทธิพลกว้างใหญ่ไพรศาลไม่ด้อยไปกว่าสำนักยี่หยวน แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายนั้นต่างก็เป็นขุมพลังอำนาจที่อยู่กันคนละขั่ว ดังนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองฝ่ายจึงไม่ค่อยลงรอยนัก

ในที่สาธารณะพวกเขามักแสดงถึงความเป็นมิตรซึ่งกันและกัน ในขณะที่ความจริงแล้วนั้นนั่นเป็นเพียงแค่ฉากหน้า เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างพบกันพวกเขามักเกรงถึงภูมิหลังของฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่ภายในจิตใจของพวกเขานั้นต่างเกลียดกันเข้ากระดูก ดังนั้นเมื่อมันมาอยู่ที่ด้านหลังของหุบเขาฉิงฟง ระหว่างศิษย์ทั้งสองสำนักพวกเขามักเจอกันเป็นว่าเล่นและสังหารกันราวกับมิใช่เรื่องแปลก

          "นี่คือนายน้อยตระกูลจางดังนั้นเจ้าจงส่งโสมแดงนั่นมาเสีย!" ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูขึงขัง

          "แต่ข้าเป็นคนพบมันเป็นคนแรก!" เย่ชีเหวิน กล่าวมั่นด้วยท่าทีที่ดูระมัดระวัง ในขณะที่ภายในใจของเขานั้นกำลังขบคิดว่านี่จะเป็นการเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงสมบัติหรือไม่!?

          "นี่น้องชาย,เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรืออย่างไร?" ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำเปิดปากกล่าวถามอีกครั้ง

          "เจ้าจะเสียเวลาพูดคุยกับไอ้ขยะนี่ไปเพื่ออะไร มันก็แค่ไอ้ขยะของสำนักยี่หยวน ไปสังหารมันและเอาโสมแดงนั้นมา!" ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงตะโกนกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้โอ้อวดเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ใบหน้าของเขานั้นได้เผยให้เห็นถึงความโกรธา

-จบ-


แปลโดย : นายกะทิ 3B

END CREDIT

B1 : เอ้ย~~~ เอาแล้วเว้ย เอาแล้วเว้ย~~~ มันตีกันแล้วเว้ย B2

B2 : ฆ่ามันฆ่ามัน สั่งสอนให้มันรู้ว่าตัวเอกของเรานั้นเก่งกล้าแค่ไหน

B3 : Nooooooooooooooooooo

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม