บทที่ 12 - ตัดจันทราเงียบงัน

เย่ชีเหวิน เป็นคนให้โอกาศศัตรูของเขาได้หรือไม่? ทันทีฝ่ามือของเขาก็ได้พุ่งตรงออกไปและคว้าจับไปที่ข้อมือของชายหนุ่มชุดดำ เพื่อกันไม่ให้ใบมีดลมปราณตัดผ่านลงมาที่ร่างกายของเขา

แต่ถึงอย่างนั้น ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มชุดดำก็ยังคงมีมากกว่าเมื่อเทียบกับ เย่ชีเหวิน ฉะนั้นเขาจึงทำให้มันหยุดชะงักได้เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น หลังจากนั้นมันจะฟาดฟันลงมาที่ร่างกายของเขาอย่างแน่นอน

แต่ต่อให้เป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั่นๆ มันก็มากเกินพอแล้วสำหรับผู้ฝึกยุทธเช่น เย่ชีเหวิน แต่นั้นก็เป็นเพราะเขาเตรียมใจมาพร้อมแล้วกับสถานการณ์เช่นนี้ ฝ้ามือของเขาอัดแน่นไปด้วยสายฟ้าและเสียงฟ้าร้องดังก้องที่ดังออกมาถึงแปดก้อง

          "รวดเร็วดังอัสนีเคลื่อนย้ายดั่งวายุ!" เย่ชีเหวิน เค้นเสียงดังพร้อมฝ่ามือที่ถูกปกคลุมไปด้วยปราณที่แปรสภาพเปลี่ยนเป็นสายฟ้า เสียงฟ้าร้องดังสนั่น ประกบกับเสียงทุบที่กระแทกอัดเข้าไปที่หน้าอกของชายหนุ่มชุดดำ

          "ปัง!" หลังจากที่ฝ่ามือถูกปล่อยออกไปอัดกระแทกเข้ากับชายหนุ่มชุดดำ ส่งผลให้ร่างของชายหนุ่มปลิวกระเด็นราวกับว่าวที่ถูกตัดสายป่านและล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง กระดูกชายโครงแตกหักหลายชิ้น สภาพนอนซมและร้องโอดครวญอย่างน่าสังเวช

มันจับจ้องมองมาที่ เย่ชีเหวิน ด้วยสายตาที่เบิกกว้าง และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแปลกใจ "เจ้า...เจ้ากล้าที่จะตบตาข้า!"

มันไม่เคยคาดคิดว่า เย่ชีเหวิน จะเป็นคนที่บ้าได้มากถึงเพียงนี้ เพื่อที่จะให้ได้รับชัยชนะ จำต้องยอมรับการโจมตีของศัตรูและหาโอกาศเพื่อสวนกลับ ซึ่งการกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นการกระทำของคนบ้าอย่างแท้จริง

          "หึหึ!" เย่ชีเหวิน ได้หยุดโลหิตของตนเอง และผิวของเขาค่อนข้างซีด อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับนั้นรุนแรงมากเกินไป และบางบาดแผลก็ลึกจนไปถึงกระดูก โลหิตไหลนอง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังสามารถหยุดโลหิตเอาไว้ได้ทัน

เย่ชีเหวิน ไม่ต้องการที่จะเสียเวลาไปแม้แต่น้อย เขาก้าวไปยังเบื่องหน้า และมายืนอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มชุดดำที่นอนกองอยู่บนพื้น

          "เจ้า...เจ้าไม่อาจที่จะสังหารข้าได้!" ในขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดดำก็ได้กล่าวออกมาด้วยท่าทีตื่นตระหนก "ข้าคือนายน้อยหนุ่มตระกูลจาง,ถ้าเจ้าสังหารข้า,เจ้าจะต้องพบเจอกับปัญหาในอนาคตแน่!"

          "เมื่อการต่อสู้ได้เริ่มขึ้น,ข้าก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว,ไม่ว่าเจ้าหรือข้าก็ต้องตายกันไปข้าง!" เย่ชีเหวิน เข้าใจว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้มันมีชีวิตลอดกลับออกไปได้ มิเช่นนั้นมันอาจนำปัญหามาให้เขาในอนาคต ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมา มันได้สอนเขาว่าเขาไม่อาจมอบความเมตตาให้กับศัตรูของเขาได้ แม้ว่าต่อให้นั่นจะเป็นผู้หญิงก็ตาม เพราะโลกใบนี้ได้ขับเคลื่อนไปด้วยกฏธรรมชาติของสัตว์ป่า มีเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะกลืนกินผู้อ่อนแอ

เย่ชีเหวิน ค่อยๆก้าวเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มชุดดำ

          "เจ้า...ตาย!" ใบหน้าของชายหนุ่มชุดดำกลับกลายเป็นดุร้าย ใบมีดลมปราณได้ปรากฏบนฝ่ามือของมันอย่างฉับพลัน ใบมีดนั้นได้กลับกลายเป็นรูปของจันทร์เสี้ยว ซึ่งฉีกผ่านอากาศกวาดผ่านไปทาง เย่ชีเหวิน อย่างรวดเร็ว

ทันทีที่เห็นใบมีดพุ่งตรงเข้ามา เย่ชีเหวิน ก็เร่งรีบขยับเท้าโดดหลบไปด้านข้างในทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการจู่โจมที่ดูอันตรายนี้ แม้ต่อให้เขารักษาการป้องกันมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถรับการโจมตีนี้ได้

ฝ่ามืออสนีบาต แปดก้องกังวาล!

เสียงกระหึ่มดังก้องท่ามกลางป่าไม้ ใบหน้าของชายหนุ่มชุดดำเริ่มตื่นตระหนก แล้วยิ่งรุนแรงมากขึ้น

         "ปัง!"

เสียงคร่ำครวญของชายหนุ่มได้ตะโกนดังขึ้น ก่อนที่จะหยุดลงอย่างไม่เต็มใจ และเต็มไปด้วยความเสียใจที่ยังไม่อยากที่จะตาย

เมื่อ เย่ชีเหวิน เห็นว่าชายหนุ่มได้สิ้นใจลงไปแล้วตรงหน้า เขาก็พลันรู้สึกโล่งใจในทันที จากนั้นเขาก็หงายหลังล้มนั่งลงบนพื้นด้วยสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อย และท่าทางที่หาบหายใจ

แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็มิได้คิดที่จะพักนานนัก เขารีบลุกขึ้นยืนและเริ่มปล้นศพของทั้งสามคน การสังหารและแย่งชิงสมบัตินั้นมักเป็นของคู่กันเสมอ

จากศพของผู้เยี่ยมยุทธก่อตั้งขั้นห้าทั้งสองคน เขาได้พบศิลาวิญญาณจำนานยี่สิบก้อนและตั๋วเงินอีกหนึ่งร้อยยี่สิบแผ่น จากนั้นเขาก็เริ่มค้นศพของชายหนุ่มชุดคลุมดำ แต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องพบกับความประหลาดใจที่น่าพึงพอใจ เพราะชายหนุ่มชุดคลุมดำได้สวมแหวนจัดเก็บพื้นที่เอาไว้ ซึ่งน่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งพื้นที่ภายในนั้นก็ยังมิได้มีขนาดเล็ก ซึ่งแท้จริงแล้วกลับมีพื้นที่กว้างขนาดใหญ่ถึงหนึ่งร้อยลูกบาศก์เมตร

หนึ่งอาจต้องรู้ก่อนว่าแหวนจัดเก็บพื้นที่หรือวัตถุที่มีพลังงานเกี่ยวกับเชิงพื้นที่นั้น เปรียบเสมือนเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีราคาแพงมากที่สุดในโลก แม้เพียงสิบลูกบาศก์เมตร ก็ยังต้องใช้ศิลาวิญญาณระดับต่ำไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยก้อนเพื่อให้ได้มา และการที่มีพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยลูกบาศก์เมตร อย่างน้อยก็ต้องใช้ศิลาวิญญาณระดับต่ำกว่าหนึ่งพันก้อนเป็นอย่างน้อย ซึ่งภายในสำนักยี่หยวนนั้นมีเพียงแค่ผู้อาวุโสระดับสูงที่อยู่ในอาณาจักรขั้นก่อเกิดเท่านั้น ถึงจะมีทรัพยากรเพียงพอที่จะซื้อมัน ทั้งนี้ทั้งนั้น เย่ชีเหวิน ก็ยังเห็นว่ามีบิดาบุญธรรมของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สวมใส่มันอยู่ในมือ

ฉะนั้นเขาจึงมิได้คาดคิดว่าชายหนุ่มชุดดำผู้นี้ จะมีแหวนจัดเก็บพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยลูกบาศก์เมตรอยู่ในการครอบครอง ซึ่งก็ดูเหมือนมันจะสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาจะถูกกล่าวขานว่าเป็นนายน้อยหนุ่มแห่งตระกูลจาง

หลังจากที่ฉกแหวนมาแล้ว เย่ชีเหวิน ก็ได้ทำการตรวจสอบมันอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจ และก็เป็นไปตามดั่งที่เขาได้คาดหวังไว้ เมื่อเทียบกับชายหนุ่มชุดดำแล้ว สมบัติของสองผู้เยี่ยมยุทธ์ก่อตั้งขั้นห้าก็ไม่ต่างอะไรไปจากเศษเงิน

เพราะภายในแหวนจัดเก็บพื้นที่นั้นมีศิลาวิญญาณระดับต่ำมากกว่าห้าร้อยก้อน ซึ่งทำให้ เย่ชีเหวิน หายกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องการขาดแคลนศิลาวิญญาณไปในทันที และนอกเหนือไปจากศิลาวิญญาณแล้วก็ยังมีตั๋วเงินอีกกว่าหนึ่งหมื่นสองพันแผ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ เย่ชีเหวิน รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าประหลาดใจไปมากกว่านั้น ก็คงเป็นความจริงที่ว่าภายในแหวนจัดเก็บพื้นที่นั้นได้เก็บซ่อนตำราวรยุทธ์ลับเอาไว้ ซึ่งก็เป็นวรยุทธ์เดียวกันกับที่ชายหนุ่มชุดดำใช้ต่อสู้กับเขาเมื่อก่อนหน้านี้ เคล็ดวิชาที่ควบแน่นพลังปราณเพื่อสร้างเป็นศาสตราวุธ แม้ว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นเพียงแค่ผู้เยี่ยมยุทธ์ก่อตั้งขั้นหก แต่ด้วยความสามารถที่ไม่ธรรมดาของเคล็ดวิชานี้ เขาอาจจับคู่ได้แม้แต่กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขั้นอาณาจักรก่อเกิด

เคล็ดวิชานี้มีชื่อเรียกว่า"ตัดจันทราเงียบงัน" ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาระดับขั้นก่อเกิด อีกทั้งมันยังแบ่งออกเป็นอีกสามระดับ ในขั้นแรกจะเรียกว่า"ตัดจันทร์เสี้ยว" ขั้นที่สอง"ตัดจันทร์ดับ" และขั้นที่สาม"ตันจันทร์หงาย" หลังจากที่สำเร็จวิชาขั้นแรกตัดจันทร์เสี้ยว อานุภาพของมันจะเทียบเท่าได้กับเคล็ดวิชาระดับกลาง ในทำนองเดียวกัน หากสำเร็จวิชาตัดจันทร์ดับ อานุภาพของมันก็จะเทียบเท่าได้กับเคล็ดวิชาระดับสูง แต่ในกรณีหากสำเร็จวิชาตัดจันทร์หงาย อานุภาพของเคล็ดวิชาก็จะเทียบเท่าได้กับระดับขั้นก่อเกิด

พลังอำนาจของมันอาจเียกได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด

เดิมที เย่ชีเหวิน ต้องการเรียนรู้ทักษะประเภทศาสตราวุธชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่ก่อนแล้วในอนาคต เพื่อเสริมสร้างทักษะการต่อสู้ให้กับตัวเขาเอง แต่ในตอนนี้เขาก็ได้รับเคล็ดวิชา"ตัดจันทราเงียบงัน"มาไว้ในการครอบครองแล้ว ซึ่งมันได้ช่วยแก้ปัญหาให้กับเขาได้เป็นอย่างมาก เคล็ดวิชานี้สามารถใช้พลังปราณเพื่อสร้างเป็นใบมีดไว้ในการควบคุมได้ แต่แท้จริงแล้วเคล็ดวิชานี้สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้หลอมรวมพลังปราณของตนเข้ากับศาสตราวุธที่เหมาะสมกับตน และปลดปล่อยพลังนั้นออกมา นั่นจึงจะเรียกว่าเป็นพลังที่แท้จริงของเคล็ดวิชาตัดจันทราเงียบงัน

เย่ชีเหวิน รีบฉกสินทรัพย์ทั้งหมดและเร่งรีบออกไปจากสถานที่แห่งนั้นในทันที หลังจากที่กลุ่มคนจำนวนมากกำลังไล่ตามจับตัวเขา ซึ่งพวกมันทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่จัดการได้ยากแทบทั้งสิ้น และมีความเป็นไปได้ที่พวกมันอาจได้ยินเสียงการต่อสู้ของเขาแล้วก่อนหน้านี้ ด้วยสภาพปัจจุบันของเขามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับมือกับกลุ่มคนดั่งกล่าว ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเร่งรีบหาสถานที่หลบซ่อนตัวโดยเร็วเพื่อทำการรักษาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ไม่นานหลังจากที่ เย่ชีเหวิน จากไป กลุ่มคนจำนวนห้าคนก็ได้มาถึง ซึ่งนำโดยชายวัยกลางคนที่มีบาดแผลขีดยาวบนใบหน้า แต่เมื่อมันเห็นร่างของศพทั้งสามนอนอยู่บนกองพื้น สีหน้าของชายวัยกลางคนก็เริ่มถอดสีในทันที โดยเฉพาะเมื่อมันเห็นร่างศพของนายน้อยหนุ่มตระกูลจาง ดวงตาของมันก็แทบจะถลนออกมาจาเบ้า และใบหน้าของมันก็ยิ่งดุร้ายมากขึ้น

          "ควานหาตัวมันให้เจอ,เมื่อแน่ใจว่ามันเป็นมือสังหารให้จับตัวมันมาให้ข้า,ข้าจะสังหารมันด้วยน้ำมือของข้าเอง,เพื่อชำระแค้นให้กับสองนายน้อยหนุ่มตระกูลจางของพวกเรา,พวกเราจะล้มเหลวไม่ได้,อย่างดีก็แค่ตาย!" ชายผู้มีแผลเป็นบนใบหน้ากล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูดุร้าย พร้อมกลับกลิ่นอายอันสูงส่งแผ่ออกมาจากร่าง เขาคือผู้เยี่ยมยุทธที่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นที่เจ็ด "แจ้งคนของเราทั้งหมด,ให้ไล่ล่ามือสังหารและจับตัวมันมาให้ได้,ข้าจะฉีกกระฉากมันออกเป็นชิ้นๆ,หากจับเป็นไม่ได้ก็ให้จับตาย,จับคนที่ดูสงสัยมากที่สุด,แม้ว่าต้องสังหารผู้บริสุทธิ์ก็ตาม,แต่เราจะปล่อยให้คนร้ายลอยนวลออกไปไม่ได้!"

          "โอ่ว!" ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดต่างส่งเสียงร้างออกมาอย่างพร้อมเพียงกัน

เสียงกระหึ่มดังก้องไปทั่วทั้งผืนป่า ต้นไม้ใหญ่ต่างกระเพื่อมไปมา ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคนของตระกูลจางเริ่มมารวมตัวกันแล้ว 

ซึ่ง เย่ชีเหวิน ที่ได้ออกมาจากสถานที่แห่งนั้นมานานแล้ว ก็ยังได้ยินเสียงร้องตระโกนนั่น นี่เป็นสัญญาญที่บ่งบอกว่าพวกคนตระกูลจางจะเริ่มไล่ล่าเขาอย่างเต็มกำลัง และเขาจำเป็นที่จะต้องหาวิธีการในการกำจัดพวกมัน มิฉะนั้นกองกำลังหลักของพวกคนตระกูลจางจะมาถึง และในเวลานั้นพวกมันก็คงจะล่าเขาไปจนสุดขอบโลก

หลังจากที่ภาพความคิดเหล่านั้นได้โผล่ขึ้นมาในหัว เย่ชีเหวิน ก็ได้หายเข้าไปในป่าทันที

-จบ-

แปลโดย : นายกระทิ 3B

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ16 มกราคม 2561 เวลา 02:19

    ถ้าไม่ฆ่าอาจนำปัญหามาสู่ในอนาคต รู้จากประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมา

    เดี๋ยวว มันเพิ่งเคยมีประสบการณ์ไม่ใช่หรอ

    ตอบลบ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม