บทที่ 15 - งานประลองสำนักประจำปี

ในตอนนี้เอง การสู้รบใกล้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ผู้เยี่ยมยุทธตระกูลจางเหลือรอดเพียงห้าคน พวกมันได้หลบหนีหายเข้าไปในป่าเพื่อรักษาชีวิตของตน

เมื่อเห็นว่าพวกมันหลบเข้าไปในป่า ภาพเงาร่างของ เย่ชีเหวิน ก็ไล่ตามมันไปในทันที

          "บัดซบ!,มันเป็นแบบนี้ไปได้เยี่ยงไร!,นี่พวกเรากำลังจะพ่ายแพ้ให้กับพวกสัตว์เดรัจฉานพวกนี้!" จากการสู้รบอย่างยากลำบากของกลุ่มกองกำลังตระกูลจาง ทำให้พวกเขาสามารถหลบหนีออกมาได้จากพวกกลุ่มวานรเหล็กสีเงิน ชายวัยกลางคนที่มีบาดแผลเป็นบนใบหน้าต่างถูกชโลมไปด้วยโลหิตทั่วทั้งร่าง ซึ่งมีผลมาจากการสู้รบระหว่างเขาและราชันย์วานรเหล็กสีเงิน ถ้าหากเขาถอนตัวออกมาช้าไปกว่านี้ บางทีกลุ่มกองกำลังของเขาอาจถูกทำลายล้างไปอย่างสมบูรณ์

          "หลังจากกลับไปข้าจะเรียนท่านประมุข,ให้เขานำผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาที่นี่,และทำลายล้างพวกสัตว์อสูรพวกนี้ให้สิ้นสาก,ถึงจะสามารถขยัดความเกลียดชังที่อยู่ภายในใจของข้าผู้นี้ได้!" เหล่าผู้เยี่ยมยุทธต่างเค้นเสียงออกมาพร้อมกับขบฟันแน่น

          "และก็ไอ้เจ้ามือสังหารนั่น,มันกล้าสังหารนายน้อยหนุ่มตระกูลจางของพวกเราถึงสองคน,ไอ้เจ้าสารเลวบัดซบและก็ยังไอ้พวกลิงนรกนั่นอีก,ไฉนเหตุใดพวกมันถึงได้มายืนขวางทางของพวกเราได้!" จอมยุทธผู้หนึ่งกล่าวออกมาอย่างใคร่รู้ เดิมทีพวกเขามีกันถึงหลายสิบคน แต่ในตอนนี้พวกเขากลับเหลือเพียงแค่ห้าถึงหกคนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีออกมาได้

          "ต้องสังหารมัน!,ต้องสังหารมันให้ได้!,และตัดมันออกเป็นชิ้นๆ!" ชายวัยกลางคนที่มีบาดแผลเป็นบนใบหน้ากล่าวออกมาพร้อมกับขบฟันด้วยจิตสังหาร

         "แต่ข้าเกรงว่าเจ้าอาจจะไม่ได้มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น!" แต่ทันใดนั้นเองเสียงดังฟังชัดก็ได้ดังก้องมาจากด้านหลัง

เหล่าผู้เยี่ยมยุทธตระกูลจางต่างหันควับและมองไปยังต้นเสียง พวกเขาเห็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาราวเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีที่มองมายังพวกเขาเยี่ยงพวกไร้ค่า

เด็กหนุ่มผู้นั้นคือ เย่ชีเหวิน

          "มันเป็นเจ้า...มันเป็นเจ้านั่นเองที่สังหารนายน้อยหนุ่มของพวกข้า!" กลุ่มคนที่เหลือรอดเพียงห้าคนมีหนึ่งในนั้นที่อยู่ในกลุ่มของผู้ไล่ล่า มันสามารถจดจำได้ในทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของ เย่ชีเหวิน "ตระกูลจางของพวกข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปแน่!"

          "แต่มันจะไม่เกิดขึ้นเพราะพวกเจ้าไม่มีโอกาศที่จะได้กลับไป!" เย่ชีเหวิน กล่าวเย้ยหยัน

          "เด็กน้อยเจ้ากำลังรนหาที่ตาย!" ชายผู้มีแผลเป็นบนใบหน้ากล่าวด้วยสีหน้าถมึงทึง พร้อมกับดึงใบคมมีดยาวออกมาและฟาดฟันลงไปที่ เย่ชีเหวิน แสงสะท้อนส่องสว่างวิบวับไปมา กลิ่นอายอันหน้าสะพรึงกลัวได้กวาดผ่านลงไปที่ เย่ชีเหวิน 

ถึงแม้ชายผู้นี้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยังเป็นผู้เยี่ยมยุทธก่อตั้งขั้นเจ็ด ซึ่งความแข็งแกร่งของเขานั้นผู้เยี่ยมยุทธก่อตั้งขั้นหกสามัญไม่อาจเทียบเคียงได้ หรือแม้แต่หลบคมมีดนี้ของเขา

แต่อย่างไรก็ตาม เย่ชีเหวิน หาใช่ผู้เยี่ยมยุทธก่อตั้งขั้นหกธรรมดาสามัญไม่ แม้ต่อให้ชายผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดของเขา เย่ชีเหวิน ก็ยังคงสามารถประมือกับเขาได้อย่างสูสีโดยที่ไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ แต่ในตอนนี้คงไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่าเขาอยู่ในสภาพที่แย่ที่สุด 

          "เสียงลับคมมีด!"

เย่ชีเหวิน ชักใบมีดพร้อมกับมีเส้นแสงส่องสว่างแพรวพราวอย่างน่าอัศจรรย์บดบังสายตาของทุกคน ใบมีดของ เย่ชีเหวิน ได้ตัดลงกลายเป็น"ตัดจันทร์เสี้ยว"เชือดเฉือนเข้ากับปราณใบมีดที่พุ่งตรงเข้ามาในทันที

          "ปัง!"

ปราณใบมีดของชายวัยกลางคนนั้นถูกตัดครึ่งในทันที โดยปราณใบมีดของ เย่ชีเหวิน ที่ถูกปล่อยออกไปด้วยเร็วสูง ซึ่งแท้จริงแล้วแก่นแท้ของทักษะ"ฝ่ามืออสนีบาต"ก็ได้ถูกหลอมรวมเข้าไปกับทักษะ"ตัดจันทร์เสี้ยว"นี้ด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้ชายวัยกลางคนนั้นไม่มีเวลาพอที่จะหลบหนี

แต่เขามีเวลาเพียงชั่วครู่เดียวในขณะที่หันมองไปทาง เย่ชีเหวิน พร้อมกับสายตาที่แสดงออกถึงความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดพร้อมกับตะโกนกล่าวออกมาว่า "เป็นไปไม่ได้,นี่มันตัดจันทร์..."

แสงสว่างไสวโบกสะบัดวิบวับ ในขณะที่ร่างของชายวัยกลางคนถูกตัดแบ่งออกเป็นสองส่วนผ่ากลาง

โลหิตสาดกระเซ็น!

เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ดูเหมือนจะรู้จักวรยุทธ์ชนิดนี้เป็นอย่างดี แต่ก็สายเกินไปที่จะกล่าวมันออกมา

          "เป็นไปไม่ได้,นั่นเขาถูกสังหารได้อย่างไร!"

          "บัดซบ,พื้นฐานฝึกตนของมันยังไม่ได้อยู่แม้แต่ก่อตั้งขั้นที่เจ็ดเลยเสียด้วยซ้ำ,อีกทั้งความเก่งกาจของเขาก็ยังเป็นที่รู้จักกันดีว่าไม่ได้แตกต่างไปจากพวกศิษย์หลักเลย,แต่เขากลับถูกสังหารลงโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!"

          "ทักษะคมมีดนั่นช่างน่ากลัวนัก!"

เมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนถูกสังหารลงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว กำลังใจของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ตระกูลจางที่ไม่เคยสั่นคลอนก็ถูกบั่นทอนลงในทันที และก่อนหน้านี้พวกมันก็ยังประสบกับความพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงกับพวกกลุ่มวานรเหล็กสีเงิน จนทำให้กลุ่มกองกำลังของพวกมันถูกสังหารลงไปเป็นจำนวนมากและเหลือรอดกลับมาเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น และในตอนนี้ก็กลับมาถูกสังหารลงไปหนึ่งโดยคมมีดของ เย่ชีเหวิน ซึ่งพวกที่เหลือรอดอยู่ก็มีพื้นฐานฝึกตนเพียงแค่ก่อตั้งขั้นสี่ไม่ก็ขั้นห้าเท่านั้น ซึ่งนั่นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกมันจะสามารถโต้กลับหรือหลบหนีไปจาก เย่ชีเหวิน ได้

พวกมันเริ่มร้องตะโกนเสียงดังไปทุกที่และแยกย้ายหลบหนีไปคนละทิศละทาง แต่มีหรือที่ เย่ชีเหวิน จะยอมปล่อยให้พวกมันไป ตระกูลจางนั้นถูกกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในสองมหาอำนาจที่ปกครองแทบหุบเขาฉิงฟง และเนื่องด้วยว่าพวกมันเป็นพยานชั้นดีที่เห็นการกระทำทั้งหมดของ เย่ชีเหวิน ฉะนั้นพวกมันจึงไม่ได้รับอนุญาญติให้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป มิฉะนั้นมันอาจนำพาปัญหามาให้แก่เขาได้ในภายภาคหน้า ดังนั้น เย่ชีเหวิน จึงจำเป็นต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม เพราะเขาไม่ต้องการเผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวของพวกคนตระกูลจาง

          "เสียงลับคมมีด!" เย่ชีเหวิน ชักคมมีดใบยาวของเขาขึ้นมา

ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีราวกับสายฟ้าแรบ ปราณใบมีดได้พุ่งตัดตรงไปยังด้านหน้าและแบ่งออกเป็นหกสาย หนึ่งในนั้นได้พุ่งตรงไปตัดศีรษะของผู้เยี่ยมยุทธคนหนึ่งจนกระเด็นออกจากร่าง

เย่ชีเหวิน ไม่ยอมสูญเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว เขาพุ่งตรงออกไปพร้อมกับคมมีดยาวในมือและจู่โจมอย่างรวดเร็ว ซึ่งหาตัวจับได้ยากและไม่อาจมีใครหลบหนีได้พ้น เสียงพายุสายฟ้าที่ปะปนไปกับปราณใบมีด พวกมันเสาะหาและติดตามเหล่าผู้ฝึกยุทธและตัดแบ่งพวกมันออกเป็นชิ้น ๆ

เมื่อผู้เยี่ยมยุทธสองคนถูกสังหารลงโดยน้ำมือของ เย่ชีเหวิน อีกสองคนก็ประสบกับความล้มเหลวในการหลบหลีกคมมีดและตกตายไปในที่สุด

พลังอำนาจของวรยุทธ์ระดับกลางนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ถึงแม้ว่าทักษะ"ฝ่ามืออสนีบาต"จะบรรลุถึงจุดสูงสุดของเคล็ดวิชาแล้ว และพลังอำนาจของมันอาจกล่าวว่ามิได้ด้อยไปกว่าวรยุทธระดับกลาง แต่สำหรับทักษะใช้ในการสังหารแล้ว เย่ชีเหวิน ต้องยอมรับเลยว่าวรยุทธ"ตัดจันทร์เสี้ยว"นั้นดูเหมือนจะดูดีกว่าขึ้นเล็กน้อย

หลังจากที่สังหารผู้เยี่ยมยุทธคนสุดท้าย เย่ชีเหวิน ก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความตายอีกต่อไปแล้ว แม้ต่อให้ตระกูลจางนำคนที่มีฝีมือมากที่สุดมาทำการสืบสวนเรื่องนี้ พวกเขาก็คงไม่อาจหามือสังหารที่แท้จริงได้!

ในตอนนี้เขาได้กำจัดเสี้ยนหนามอย่างตระกูลจางไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ต้องการที่จะกลับไปในตอนนี้ เขายังคงต้องการที่จะอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็ครึ่งเดือนหลังจากนี้ เพราะอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้จะมีการจัดการแข่งขันครั้งใหญ่ขึ้นภายในสำนักยี่หยวน ซึ่งกำลังจะจัดขึ้นในปีนี้

เฉพาะสานุศิษย์ฝ่ายนอกและฝ่ายในเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ การแข่งขันจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งจะเป็นของสานุศิษย์ฝ่ายนอกและอีกส่วนจะเป็นของสานุศิษย์ฝ่ายใน สำหรับการแข่งขันจะมีการเลือนลำดับขั้นรวมอยู่ด้วย ผู้ที่ชนะเลิศสิบอันดับแรกของสานุศิษย์ฝ่ายนอกจะมีคุณสมบัติให้เลือนขั้นขึ้นกลายเป็นสานุศิษย์ฝ่ายใน ในขณะที่ผู้ที่ชนะห้าอันดับแรกของสานุศิษย์ฝ่ายในก็จะมีคุณสมบัติให้เลือนขั้นขึ้นเป็นศิษย์หลัก 

สำหรับสานุศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักยี่หยวนนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมากกว่าหลายพันคน ในขณะที่สานุศิษย์ฝ่ายในนั้นมีอยู่เพียงไม่ถึงพัน  และศิษย์หลักที่มีอยู่ประมาณเพียงหนึ่งร้อยคน

ถ้าหากสานุศิษย์ฝ่ายในถูกกล่าวขานว่าเป็นชนชั้นสูงของสำนักยี่หยวน พวกศิษย์หลักก็เปรียบเสมือนดั่งเป็นเมล็ดพันธ์ุของสำนัก ซึ่งทางสำนักยี่หยวนก็จะมีหน้าที่คอยดูแลรักษาและพัฒนาเพื่อให้เมล็ดพันธุ์เหล่านี้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ด้วยจำนวนของเหล่าศิษย์ที่มีอยู่อย่างมากมายนั่นก็เป็นเพราะมาจากพวกศิษย์หลักที่เป็นแกนกลาง มันอาจจะดูโอ้อวดไปบ้างหากจะกล่าวว่า แม้ต่อให้สานุศิษย์ฝ่ายในหรือนอกตกตายไปทั้งหมด แต่ตราบเท่าที่ยังมีศิษย์หลักที่เป็นแกนกลางอยู่ นั่นก็ไม่นับว่าเป็นอะไร เพราะสำหรับสำนักแล้วเหล่าศิษย์หลักเหล่านี้นั้นเปรียบเสมือนทุกสิ่ง และกลับกันบางทีนั่นอาจทำให้สำนักมีพัฒนาการที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้

แต่อย่างไรก็ตาม หากว่าครึ่งหนึ่งของเหล่าศิษย์สำนักยี่หยวนตกตายไป นั่นก็อาจทำให้กำลังหลักของทางสำนักนั้นถูกบั่นทอนลงเป็นอย่างมาก

ดังนั้นจากคำอธิบายข้างต้นจึงบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสานุศิษย์ฝ่ายหลักนั้นสำคัญมากแค่ไหนต่อสำนักยี่หยวน และในหมู่สามพี่น้องตระกูลเย่ เย่ฟง และ เย่หรูเชว่ พวกเขาต่างก็มีสถานะเป็นศิษย์หลักของสำนัก ซึ่งมีเพียงแค่ เย่ชีเหวิน เพียงเท่านั้นที่ยังคงเป็นสานุศิษย์ฝ่ายในและกำลังก้าวขึ้นไปในไม่ช่า

สถานะศิษย์หลักนั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถบรรลุได้ ถึงแม้ว่าจะมีผู้เยี่ยมยุทธบางคนที่สามารถบรรลุได้แต่ส่วนใหญ่นั้นไม่ นอกจากนี้ผู้เยี่ยมยุทธก็ยังคงเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ วันและต่างก็ไขว่คว้าไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้น และสำหรับบางคนถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่หากไม่มีโชคมันก็อาจกลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยากได้ เมื่อหากอายุครบยี่สิบห้าปี แต่ยังไม่สามารถกลายเป็นศิษย์หลักได้ ในกรณีนี้ก็จะมีทางเลือกเพียงแค่สองทาง นั่นคือหากไม่เลือกเป็นบริกรของสำนักก็ออกไปจากหุบเขาฉิงฟงเพื่อแสวงหาเส้นทางของตนเอง

แต่อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ใดสามารถบรรลุเลื่อนขึ้นเป็นศิษย์หลักได้ คนผู้นั้นก็จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แม้ว่าจำนวนของศิษย์หลักจะมีเพียงแค่หนึ่งร้อยคน หากแต่ทรัพยากรที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อบ่มเพาะพลังของตนเองได้นั้น กับเทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของทรัพยากรทั้งหมดที่ทางสำนักยี่หยวนมี

-จบ-

แปลโดย : GaTi3B

1 ความคิดเห็น:

  1. การพูดคุยของท่านนั้นจะยาวกว่านิยายแล้วนะทาาน55555

    ตอบลบ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม