บทที่ 16 - กลับสู่สำนัก

หากว่า เย่ชีเหวิน มีทรัพยากรเฉกเช่นเดียวกับพวกศิษย์หลักแล้วละก็ อัตราการฝึกฝนของเขาก็จะยิ่งรวดเร็วมากยิ่งขึ้นจนไม่อาจคาดคะเนได้ ถึงแม้ว่ามันอาจไม่ใช่โชคลาภที่ใหญ่นัก แต่ก็ยังคงเป็นทรัพยากรที่มั่งคลั่งและมั่นคง ซึ่งอย่างน้อย ๆ ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไร

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่า เย่ชีเหวิน จะโดดเด่นมากเพียงใดหากอยู่ในกลุ่มศิษย์หลักด้วยกัน แต่ในตอนนี้เขาจำเป็นต้องการทรัพยากรเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่อาจเพิกเฉยได้ เพราะเหล่าศิษย์หลักแต่ละคนต่างก็มีการผจญภัยและการฝึกฝนเป็นของตนเอง ซึ่งถ้าเขาไม่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นศิษย์หลักในตอนนี้ได้ มันก็คงจะเป็นการยากที่เขาจะสามารถไล่ตามบุคคลเหล่านั้นได้ทัน

นอกจากนี้ เย่ชีเหวิน ก็ยังไม่ต้องการรอนานมากไปกว่านี้ เพราะเขาไม่ต้องการให้ผู้ใดมามองดูเขาด้วยสายตาที่ดูถูกดูแคลน!

ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องไปเข้าร่วมงานประลองของสำนักยี่หยวนในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่สุด เพื่อที่จะชิงชัยในการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นศิษย์หลักและโค่นล้มเหล่าศิษย์ทุกคน

สำหรับงานประลองในครั้งนี้ศิษย์หลักจะไม่ได้เข้าร่วมด้วย ซึ่งงานประลองของศิษย์หลักนั้นจะจัดขึ้นในอีกสามเดือนหลังจากนี้ และเฉพาะยี่สิบอันดับแรกเท่านั้นถึงจะได้รับสิทธิ์ในการรับเลือกให้เข้าร่วมกับสำนักหลักของสำนักยี่หยวน เพื่อที่จะได้รับการฝึกฝนบ่มเพาะพลังในระดับสูงสุด

ซึ่ง เย่ชีเหวิน ก็ได้ตั้งเป้าเอาไว้อย่างแน่วแน่แล้วว่าเขาจะไปยืนยังจุดสูงสุดของทุกงานประลองของสำนักยี่หยวนในปีนี้!

วันคืนค่อย ๆ ผ่านพ้นไปอย่างช้า ๆ และวันแห่งการประลองก็ใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อย ๆ 

ท่ามกลางป่าน้อยใหญ่ ได้มีร่างของบุรุษผู้หนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับสุนัขจิ้งจอกเปลวเพลิง ซึ่งก็น่าประหลาดใจนัก เดิมทีมันควรมีขนสีชมพูเงางาม แต่ในตอนนี้ขนเจ็ดในสิบส่วนบนร่างกายของมันกับถูกปกคลุมไปด้วยโลหิต และสีหน้าของมันก็บ่งบอกให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่ามันคือสุนัขจิ้งจอกที่ปกครองหุบเขาฉิงฟงในเขตแถบนี้ ซึ่งความแข็งแรงของมันสมควรที่จะอยู่ในระดับก่อตั้งขั้นเจ็ด

          "ตัดจันทร์เสี้ยว" บุรุษผู้นั้นตะโกนขึ้นพร้อมด้วยแสงสว่างวิบวับเป็นประกายที่โบกสะบัดไปตามข้อมือ ในทันทีหลังจากปราณใบมีดถูกยิงออกไป มันแยกออกเป็นเงาเก้าใบมีดข้ามผ่านท้องฟ้าปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของจิ้งจอกเปลวเพลิง ทำให้มันไม่สามารถขยับเขยื่อนหรือหลบหนีไปไหนได้

เมื่อจิ้งจอกเปลวเพลิงไม่อาจหลบหนีไปไหนได้ มันจึงทำได้เพียงมองไปยังปราณใบมีดที่กำลังกล้ำกรายเข้ามาหามันและสับร่างมันออกเป็นชิ้น ๆ 

เมื่อหมดสภาพ เย่ชีเหวิน ก็ได้ใช้มีดยาวของเขาตัดเฉือนร่างกายของมันเพื่อควานหาดวงจิตอสูร มันเป็นผลึกดวงจิตอสูรก่อตั้งขั้นเจ็ด ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณระดับต่ำได้ถึงสองร้อยก้อนหรืออาจมากกว่านั้น

         "คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าท้ายที่สุดแล้วข้าสามารถบรรลุได้ถึงเก้าเงาใบมีด!" ในความเป็นจริง เย่ชีเหวิน เองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะสามารถบรรลุทักษะนี้ถึงระดับเก้าเงาใบมีดได้ในระยะเวลาอันสั่น เขาสามารถบรรลุถึงจุดสูงสุดของเคล็ดวิชา"ตัดจันทร์เสี้ยว"ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถปลดปล่อยมันออกมาได้ถึงเก้าเงาใบมีดพร้อมกัน ซึ่งนอกจากมันจะสามารถปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของศัตรูได้ทุกด้านแล้ว มันยังสามารถโจมตีศัตรูลงมาจากด้านบนได้อีกด้วย

ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าจิ้งจอกเปลวเพลิงได้ถูกสังหารลงอย่างง่ายด่ายโดยคมมีดของ เย่ชีเหวิน

ถึงแม้ว่าจิ้งจอกเปลวเพลิงจะมีระดับการบ่มเพาะพลังอยู่ที่ก่อตั้งขั้นเจ็ด แต่มันก็ยังเป็นที่รู้จักกันดีในนามของผู้ปกครองขุนเขาฉิงฟง ซึ่งมีพรสวรรค์ธรรมชาติคือความเร็วที่เร็วมาก โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ก่อตั้งขั้นแปดสามัญไม่อาจไล่ตามความเร็วของมันได้ทัน นอกเสียจากว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงอย่างก่อตั้งขั้นเก้าถึงจะสามารถไล่ตามความเร็วของมันได้

เดิมทีแล้วแกนดวงจิตอสูรก่อตั้งขั้นเจ็ดนั้นสามารถแลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณระดับต่ำได้ประมาณหนึ่งถึงหนึ่งร้อยก้อน แต่สำหรับแกนดวงจิตอสูรที่เป็นของสัตว์อสูรจิ้งจอกเพลิงนั้นสามารถแลกเปลี่ยนได้ถึงสองร้อยก้อน ซึ่งเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นมันก็ง่ายมาก เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่สัตว์อสูรที่หายาก แต่มันเป็นสัตว์อสูรที่จับได้ยาก ดังนั้นมูลค่าการของมันจึงถูกวางเอาไว้สูงมาก ซึ่งสูงพอเกือบเทียบเท่ากับแกนดวงจิตอสูรของสัตว์อสูรก่อตั้งขั้นแปด

หากก่อนหน้านี้สุนัขจิ้งจอกเลือกที่จะหลบหนี มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ เย่ชีเหวิน จะสามารถไล่ตามความเร็วของมันได้ทัน แต่อย่างไรก็ตาม เขาได้ใช้ทักษะ"ตัดจันทร์เสี้ยว"ปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของมันทั้งหมด จึงทำให้มันต้องพบกับความตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

จุดสูงสุดของเคล็ดวิชา"ตัดจันทร์เสี้ยว"นั้นช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง นอกจากพลังอำนาจที่รุนแรงแล้ว มันยังสามารถปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของศัตรูได้ทุกด้านอย่างสมบูรณ์แบบ

หากสามารถใช้วิชา"ตัดจันทร์เสี้ยว"นี้ได้อย่างชำนาญการ เย่ชีเหวิน ก็มีความมั่นใจอย่างแท้จริงว่าเขาจะสามารถจัดการกับผู้เชี่ยวชาญก่อตั้งขั้นเจ็ดได้อย่างง่ายดาย

ในช่วงเวลาที่น้อยกว่าครึ่งเดือน เย่ชีเหวิน ได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนทักษะ"ตัดจันทร์เสี้ยว" เนื่องด้วยเขามีพื้นที่ลึบลับที่อยู่ภายในจิตใจ จึงทำให้พื้นฐานฝึกตนของเขาสามารถบรรลุผ่านสู่จุดสูงสุดก่อตั้งขั้นหกได้อย่างง่ายดาย แต่ก็โชคร้ายที่เขาพลาดในการบรรลุสู่ก่อตั้งขั้นเจ็ดที่อยู่ห่างเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น

เย่ชีเหวิน มีความอย่างเด่นชัดเข้าใจมากที่สุดเกี่ยวกับการมุ่งเน้นฝึกฝนวิชาใดวิชาหนึ่งให้ชำนาญ ไม่ว่ามันจะเป็นทักษะ"ฝ่ามืออสนีบาต"หรือ"ตัดจันทร์เสี้ยว" เขาก็จำเป็นต้องบรรลุให้ได้ถึงจุดสูงสุดของเคล็ดวิชานั้น ๆ ก่อนจะเริ่มไปฝึกฝนเคล็ดวิชาอื่นใด

พลังอำนาจของเคล็ดวิชา"ตัดจันทร์เสี้ยว"นั้นทรงพลังจนน่าหวาดกลัว จนทำให้ เย่ชีเหวิน อดไม่ได้ที่ต้องรู้สึกหวาดหวั่นกับเคล็ดวิชา"ตัดจันทร์ดับ" ซึ่งคงไม่ต้องกล่าวถึงว่าเคล็ดวิชา"ตัดจันทร์ดับ"นั้นเป็นเคล็ดวิชาที่อยู่ในระดับสูงกว่าเมื่อเทียบกับ"ตัดจันทร์เสี้ยว" มันเป็นวรยุทธระดับสูงซึ่งหากฝึกฝนจนบรรลุถึงจุดสูงสุดของเคล็ดวิชาก็คงไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันจะมีพลังอำนาจมากเพียงใด

ในช่วงเวลาที่น้อยกว่าครึ่งเดือน เย่ชีเหวิน ได้เผชิญหน้าและต่อกรกับพวกสัตว์อสูรอย่างไม่ลดละเพื่อหมายเอาแกนดวงจิตอสูรของพวกมัน ทำให้พื้นฐานฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าอัตราการดูดซับของพื้นที่ลึกลับกับเพิ่มพูนสูงขึ้น โดยไม่ต้องกล่าวถึงศิลาวิญญาณระดับต่ำ ในตอนนี้เขาเหลือมันอยู่ในตัวเพียงแค่สองพันก้อนเท่านั้น กับการที่ต้องบรรลุให้ถึงจุดสูงสุดของเคล็ดวิชา"ตัดจันทร์ดับ"ด้วยจำนวนศิลาวิญญาณเพียงเท่านี้มันยังคงไม่เพียงพอ แม้ว่ามันจะเคยมีคนกล่าวไว้ว่าสำหรับสานุศิษย์ฝ่ายใน ด้วยจำนวนศิลาวิญญาณกว่าสองพันก้อนก็อาจทำให้มันผู้นั้นใช้ได้ไปจนตลอดชีวิจตของมัน แต่สำหรับ เย่ชีเหวิน ที่มีพื้นที่ลึกลับอยู่ภายในจิตใจก็เหมือนกับหลุมดำที่คอยดูดกลืนศิลาวิญญาณอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผลประโยชน์ที่เขาได้รับมันก็ยังคุ้มค่า หากเปรียบเทียบกับตัวเขาก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่ ณ ช่วงเวลาที่เขาได้เริ่มฝึกฝน"ฝ่ามืออสนีบาต"นี่ก็ผ่านมายังไม่ถึงเดือนเสียด้วยซ้ำ ความแข็งแกร่งของเขากำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับเสียงก้องของ"ฝ่ามืออสนีบาต"ที่จะดังขึ้นเรื่อย ๆ 

เขาได้ใช้ศิลาวิญญาณอยู่ที่มีอยู่ตลอดเวลาเพื่อส่งเสริมระดับพื้นฐานฝึกตน!

หากไม่ได้รับความมั่งคั่งอย่างไม่คาดคิดจากสองนายน้อยหนุ่มตระกูลจาง รวมทั้งทรัพย์สมบัติจากถ้ำราชันย์วานรเหล็กสีเงิน เขาก็คงไม่สามารถผลักดันตนเองโดยการใช้ศิลาวิญญาณราวกับเผามันทิ้งเช่นนี้ได้เป็นแน่!

ในตอนนี้ วันเวลาเหล่านั้นก็ใกล้มาถึงแล้ว เหลือเวลาอยู่อีกเพียงแค่สองวันเท่านั้นก็จะถึงการประลองของสำนักยี่หยวน ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นในทุก ๆ สามปี ฉะนั้นเขาในตอนนี้จึงจำเป็นต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานประลองที่จะมาถึง

นับแต่ที่ เย่ชีเหวิน ได้เข้าไปยังส่วนลึกภายในหุบเขาฉิงฟง เขาก็ไม่เคยหยุดยั้งที่จะฝึกฝน และในตอนนี้ เขาก็ได้ออกเดินทางมาตั้งแต่เช้าตรูเพื่อกลับมายังสำนักยี่หยวน ซึ่งก็มาถึงในช่วงเวลาบ่ายพอดี

เขามองไปยังอาคารบ้านเรือนที่เรียงรายกันอย่างไม่สม่ำเสมอ เย่ชีเหวิน ก้าวเดินไปอย่างสุขุม เขาได้จากที่นี่ไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว และเริ่มฝึกฝนการบ่มเพาะพลังอย่างหนักจากรากฐานที่มีอยู่เพียงแค่ก่อตั้งขั้นสี่ จนในตอนนี้สามารถบรรลุสู่ก่อตั้งขั้นหกได้สำเร็จ!

หากข่าวนี้ได้ไปถึงหูของบิดามารดาของเขา พวกเขาคงต้องสะดุ้งด้วยความตกใจอย่างแน่นอน!

แต่อย่างไรก็ตาม เย่ชีเหวิน ยังไม่ต้องการกลับไปที่จวนของเขาในตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องทำเป็นอย่างแรกก็คือการจัดการกับแกนดวงจิตอสูรที่มีอยู่มากมายภายในแหวนจัดเก็บพื้นที่ของเขา

แม้ว่าในสำนักยี่หยวนจะมีสถานที่พิเศษที่มีไว้เพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายอย่างพระวิหารคุณูปการ แต่ก็มีหลายอย่างที่มันไม่คุ้มค่าหากซื้อขายที่นั่น แม้ว่าอัตราการแลกเปลี่ยนซื้อขายของดวงจิตอสูรในช่วงแรก ๆ จะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่เมื่อระดับของดวงจิตอสูรนั้นอยู่ในระดับที่สูงขึ้น อัตราการแลกเปลี่ยนซื้อขายมันจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หากนำมันไปแลกเปลี่ยนกับเหล่าศิษย์คนอื่น ๆ แทนที่จะนำมันไปขึ้นเงินกับพระวิหารคุณูปการ

แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะไม่มีสถานที่ใดของสำนักยี่หยวนจะขาดแคลนทรัพยากร นอกจากจะมีอาคารบ้านเรือนที่ใหญ่โตแล้ว พวกเขาต่างก็มีธุระกิจที่เป็นของตนเองและทางสำนักก็ไม่ห้ามปรามมัน

ในความเป็นจริงทั่วทั้งสำนักมีจำนวนคนอยู่ไม่น้อยกว่าหกพันคนจนอาจกล่าวว่าเป็นเมืองย่อม ๆ ก็ยังได้ มันมีทั้งความวุ่นวายและเสียงดังที่รบกวน แต่ก็เป็นสถานที่ชั้นดีในการรวบรวมข้อมูลซื้อขายและเป็นจุดศูรย์รวม โดยประการแรก สถานที่แห่งนี้สะดวกต่อการทำธุระกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนของพวกเหล่าศิษย์ในสำนัก ประการที่สอง ซึ่งสะดวกต่อทางสำนักที่จะทำการกำกับดูแล และประการที่สาม คือความปลอดภัยที่อยู่ในระดับที่สูงมาก

เย่ชีเหวิน มุ่งหน้าตรงไปยังจัตุรัสเพื่อทำการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ในขณะที่เขาคิดว่าช่วงเวลาบ่ายนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะเขาคิดว่าในช่วงเวลานี้จะมีผู้คนพลุ่งพล่านมากที่สุดราวกับเป็นกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด

-จบ-

แปลโดย : GaTi3B

2 ความคิดเห็น:

  1. คำผิดค่ะ ** ได้ฤกษ์สมควร ** คุณใช้ ได้เลิกสมควร.. ** โชคลาภหล่นทับ ** คุณใช้ โชคลาภหล่นทัพ.. ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม