บทที่ 17 - ความขัดแย้ง

          "วัตถุดิบพวกนี้ทั้งกรงเล็บหมีและขนสุนัขจิ้งจอกเพลิง,รวมทั้งสิ้นก็ประมาณ 200 หินศิลาวิญญาณระดับต่ำ!" ชายชราผอมแห้งว่ากล่าวอย่างช้า ๆ นับว่าไม่มากหรือน้อยเกินไปนักสำหรับร้านค้าเล็ก ๆ แห้งนี้

ชายชราผู้นี้ได้เริ่มต้นซื้อขายมานานแล้วกว่าห้าสิบปี แต่กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาไดรับซื้อขายวัตถุดิบสัตว์อสูรด้วย เย่ชีเหวิน ได้เคยกล่าวถาม เย่คงหมิง ถึงรูปลักษณ์ของชายชราผู้นี้ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับชายชรามากนัก แต่บิดาของเขาก็ได้บอกกล่าวไว้ว่าชายชราผู้นี้ได้อาศัยอยู่ที่บริเวณแทบนี้ ซึ่งไม่เคยมีสานุศิษย์ใดกล้าสร้างปัญหาให้กับเขา นอกจากนี้ ชายชราผู้นี้ก็ยังเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการแลกเปลี่ยนซื้อขายที่ยุติธรรมและไม่เคยฉ้อโกงต่อเหล่าศิษย์ในสำนักแต่อย่างใด

          "เจ้ามีสิ่งใดคัดค้านต่อราคานี้หรือไม่?"

          "ไม่มี!" เย่ชีเหวิน ส่ายศีรษะแสดงให้เห็นถึงว่าเขาเห็นสมควรต่อราคานี้ แม้ว่าเขาจะเอามันไปขึ้นเงินที่อื่น มันก็คงไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว

แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมดที่เขาจะนำมาขาย เขายังคงมีแกนดวงจิตอสูรที่มีความสำคัญกว่าวัตถุดิบที่มาจากร่างกายของพวกมันมากนัก อย่างน้อย ๆ ถ้าเขาขายพวกมันออกไปยังไงก็ได้ศิลาวิญญาณระดับต่ำกลับมาไม่น้อยกว่า 800 ก้อน บวกกับศิลาวิญญาณที่เขามีอยู่ในแหวนจัดเก็บพื้นที่ 1,000 ก้อน ด้วยวิธีนี้เขาก็จะสามารถครอบครองศิลาวิญญาณระดับต่ำได้ถึง 2,000 ก้อนในคราวเดียว

          "ของพวกนี้เป็นส่วนต่าง ๆ ของพวกสัตว์อสูร,แสดงว่าตัวเจ้าต้องมีแกนอสูรของพวกมันอยู่ด้วย" ชายชรากล่าวกล่าวพร้อมจับจ้องมองไปที่ เย่ชีเหวิน และกล่าวว่า "หากเจ้ามี,เจ้าสามารถขายมันให้กับข้าได้,ข้าจะเสนอราคาที่ไม่ทำให้เจ้าต้องขาดทุน!"

เย่ชีเหวิน ครุ่นคิดแต่จะเก็บไว้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ดังนั้นเขาจึงนำมันออกมาจากแหวนจัดเก็บพื้นที่และวางกองมันลงบนโตะ

ชายชราถึงกับดวงตาเบิกกว้างและมีสีหน้างุนงง เพราะสิ่งที่ เย่ชีเหวิน นำออกมานั้น คือแม้แต่ศิษย์หลักก็ไม่อาจนำแกนดวงจิตอสูรมาวางกองรวมกันในจำนวนที่มากมายเช่นนี้ได้

          "สำหรับแกนดวงจิตอสูรพวกนี้,ข้าให้ราคาเจ้า 850 ศิลาวิญญาณระดับต่ำ,เจ้าตกลงจะรับมันหรือไม่?" ชายชรามองไปยัง เย่ชีเหวิน พร้อมกับกล่าวถาม

          "นั่นถือเป็นราคาที่ดี,ข้าตกลง!" เย่ชีเหวิน พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ดูเหมือนว่าราคาของมันจะมากกว่าที่เขาคาดไว้

หลังจากที่รับก้อนศิลาวิญญาณแล้ว เย่ชีเหวิน ก็เดินออกจากร้านไป แต่ในขณะที่เขาอยู่ห่างจากร้านเพียงเล็กน้อย ก็ได้มีเสียงคนถกเถียงกันอยู่ดังลั่น

          "ไร้สาระ,ข้าไม่เคยแอบดูตำราวรยุทธ"ย่างก้าวทะยานสวรรค์"ของเจ้า!" น้ำเสียงที่ดูกังวลได้กล่าวดังขึ้น

          "เหอะ,ถ้าเจ้าไม่เห็นแล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าตำราเล่มนี้มีชื่อว่า"ย่างก้าวทะยานสวรรค์",หากทุกคนเป็นเหมือเฉกเช่นเจ้าที่อ่านตำราแล้วไม่ซื้อ,และข้าจะทำการค้าไปเพื่อสิ่งใด!?" เสียงหยาบตระโกนดังขึ้นทามกลางฝูงชน "ไม่รู้ละ,วันนี้เจ้าจะต้องซื้อตำราเล่มนี้,หากเจ้าไม่ซื้อเจ้าก็ต้องจ่ายมา 500 ศิลาวิญญาณระดับต่ำเพื่อเป็นค่าชดเชย!"

ฝูงชนต่างระส่ำระส่าย 500 ศิลาวิญญาณระดับต่ำนั้นไม่ใช่จำนวนที่น้อย สำหรับสานุศิษย์บางคนมันอาจเป็นจำนวนเงินที่ทั้งตลอดชีวิตของมันก็มิอาจหาได้

เย่ชีเหวิน แหวกผ่านฝูงชนและพบกับการถกเถียงกันระหว่างสองชายหนุ่ม คนหนึ่งมีรูปร่างที่อ้วนถ้วม ส่วนอีกคนมีรูปร่างที่ดูแข็งแรงบึกบึน แต่ที่หน้าแปลกใจคือชายหนุ่มที่มีรูปร่างอ้วนถ้วมนั้นคือสหายของเขาที่มีนามว่า หวังเหล่ย

ส่วนชายหนุ่มผู้มีรูปร่างกำยำ เขาดูเหมือนมีอายุราวประมาณยี่สิบปี เขามีผิวพรรณที่หยาบกร้าน เขาจ้องมองไปที่ หวังเหล่ย ด้วยสีหน้าที่พึงพอใจราวกับมีไพ่ที่เหนือกว่าอยู่ในมือ

          "เจ้านั่นมัน หม่าเหยียน นิ,ศิษย์ผู้นี้ช่างชั่วช้านัก,ข้าไม่ยักรู้ว่านักฉ้อฉลเฉกเช่น หม่าเหยียน จะมีตำราวรยุทธลับที่หาได้ยากยิ่งเช่นนั้นได้,ข้าเคยได้ยินมาว่ามันขอให้ท่านผู้อาวุโสท่านหนึ่งช่วยประเมินตำราวรยุทธนั้นให้,และตำรายุทธเล่มนั้นก็ดันเป็นตำราวรยุทธขั้นก่อเกิดเสียด้วย,แต่ก็น่าเศร้าที่ตำราเล่มนั้นมันเป็นตำราวรยุทธที่ไม่สมบูรณ์,แต่เจ้านั่นก็ยังกล้าที่จะเอาตำราเล่มนั้นมาขายเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อผู้บริสุทธิ์ให้มาติดกับ,หากมีคนสนใจเจ้านั่นก็จะบังคับคนผู้นั้นให้จ่ายเงินให้แก่มัน,โทษฐานที่แอบมองดูเนื้อหาที่อยู่ภายในตำรา,มีหลายคนที่หมดสิ้นเนื้อประดาตัวไปก็เพราะมัน!"

          "ใช่แล้ว,ใช่แล้ว,เจ้านั่นมันไร้ยางอายเกินไป,แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะพี่ชายของมันคือ หม่าหยิง ผู้ที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะกลายเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป,อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นศิษย์หลัก,หม่าหยิง นั้นเป็นชายผู้โหดเหี้ยม,มันกล้าตีศิษย์ทุกคนที่กล้ามาหาเรื่องน้องชายจอมฉ้อฉลของมัน,ด้วยเหตุนั้นคนอื่น ๆ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทนดูการกระทำที่ไร้ยางอายของ หม่าเหยียน ต่อไป,นอกจากนี้พื้นฐานฝึกตนของมันก็ยังอยู่ในระดับจุดสูงสุดก่อตั้งขั้นห้า,และยังกล่าวได้ว่ามันเป็นหนึ่งในผู้แข่งขันตัวเกร็งที่จะติดอยู่ในอันดับยี่สิบคนแรกของพวกสานุศิษย์ฝ่ายใน!"

ก่อนหน้านี้ เย่ชีเหวิน ทราบมาว่าภายในสำนักยี่หยวนนั้นไม่อาจซื้อขายตำรายุทธได้ นอกเสียจากว่าตำรานั้นจะไม่ได้มาจากภายในของสำนักยี่หยวน เพราะทางสำนักได้มีกฎอยู่ว่าห้ามซื้อขายตำราวรยุทธจากภายใน แต่หากศิษย์ผู้นั้นนำตำรายุทธมาจากภายนอกนั่นก็เป็นอีกเรื่อง

นอกจากนี้หากนำตำรายุทธจากภายนอกมามอบให้กับทางสำนัก บุคคลเหล่านั้นก็จะได้รับค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว ซึ่งอาจนอกเหนือจากศิลาวิญญาณธรรมดาทั่วไป พวกเขายังอาจได้แต้มบุญของสำนัก แต่ถึงอย่างนั้น การที่นำตำราวรยุทธมาขายยังพื้นที่ภายนอกเช่นนี้ ถือว่าเป็นพวกที่มีความใจกว้างอยู่มากหรือไม่ก็มีแรงจูงใจที่เด่นชัด

ถ้ามันเป็นการซื้อขายด้วยสินค้าของตนเอง มันผู้นั้นก็จะมีสิทธิ์ซื้อขายได้หลายครั้ง ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง

          "ไร้สาระ,ก็ในเมื่อหน้าปกตำราของเจ้ามันเขียนว่า"ย่างก้าวทะยานสวรรค์",ข้าไม่ใช่คนตาบอดข้าก็ต้องเห็นมัน,และเห็นได้ชัดว่าข้าไม่ได้แอบดูเนื้อหาภายในของเจ้า!" หวังเหล่ย กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูท่าทางกังวล ตระกูลของเขานั้นเป็นตระกูลที่ร่ำรวย ซึ่งตั้งออกห่างไปอยู่ทางด้านล่างของหุบเขาฉิงฟง ตระกูลของเขาต่างคาดหวังไว้สูงเกี่ยวกับตัวเขา ดังนั้นในมือของเขาจึงทรัพยากรอยู่เสมอ เมื่อเทียบกับ เย่ชีเหวิน หลังจากที่เขาได้บรรลุก่อตั้งขั้นสี่ได้สำเร็จ เขาก็เริ่มตนออกหาตำราวรยุทธและหวังที่จะซื้อมันเป็นของตนเอง

สำหรับความสำคัญของเนื้อหาตำรายุทธเขาพอเข้าใจ แต่ 500 ศิลาวิญญาณระดับต่ำมันเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไป เขาไม่สามารถจ่ายมันได้เพราะมันจะทำให้เขาหมดสิ้นเนื้อประดาตัว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงกำลังจะเดินจากไป แต่ทว่าในขณะนั้นเองเขาก็ได้ถูกกล่าวหาเสียก่อน

          "ถ้าข้าบอกว่าเจ้าเห็นมันเจ้าก็ต้องเห็นมัน!" หม่าเหยียน กล่าวพลางแสยะยิ้ม ในความเป็นจริงเขาสามารถบอกได้โดยการมองจากการแต่งตัวของ หวังเหล่ย ว่าเขาเป็นคนที่อยู่ในตระกูลที่ร่ำรวย ซึ่งเหมาะแก่การรีดไถและขู่กันโชกเป็นอย่างดี

          "เอาละเสียเวลากล่าววาจากันมามากเกินพอแล้ว,เจ้าจะจ่ายให้ข้าหรือจะให้ข้าทำลายวรยุทธของเจ้า!" หม่าเหยียน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เหล่าฝูงชนที่ยืนอยู่รอบ ๆ ต่างสั่นเทา เพราะการทำลายวรยุทธนั้นถือเป็นการทำลายอนาคตของเหล่าศิษย์ด้วยกัน

มันเป็นกฏของสัตว์ป่า พี่ชายของ หม่าเหยียน นั้นมีความสัมพันะ์อันดีกับศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักฝ่ายใน แม้ว่าเขาจะทำลายวรยุทธของศิษย์ด้วยกัน แต่คนที่มียศสถานะสูงกว่าก็จะไม่ถูกลงโทษ

          "ข้าไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นหรอก!" หวังเหล่ย ร้องตะโกน

          "นี่เจ้าคิดว่าข้าโง่,ไหนลองดูซิว่าปากของเจ้าหรือกำปั้นของข้าใครมันจะแน่กว่ากัน!" หม่าเหยียน แสยะยิ้ม กำปั้นของเขาถูกยิงออกไปกลายเป็นหมัดอัดอากาศที่ทำให้บรรยากาศโดยรอบถึงกับส่งเสียงปริแตก หม่าเหยียน นั้นเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่โดดเด่น ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมไม่อ่อนแอ หลังจากที่เขาเป็นติดหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกของสำนักฝ่ายใน

หลังเหล่ย กัดฟันพร้อมกับรีดเร้นพลังอำนาจภายในร่างกายจนถึงขีดสุดและปล่อยฝ่ามือออกไป

          "ชูบ!!!"

          "ปัง!!!"

แต่ในตอนนั้นเอง เสียงแหลมเล็กเจาะหูก็ได้ดังออกมาจากทางฝูงชน เศษหินเล็ก ๆ ที่เร็วราวกับสายฟ้าฟาด แหวกผ่านอากาศปาดเข้าปะทะกับกำปั้นของ หม่าเหยียน อย่างรุนแรง

          "อ๊า!" หม่าเหยียน ร้องลั่นราวกับเสียงหมูถูกเชือด!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม