บทที่ 23 - ภาพที่งดงาม

หลายคนเริ่มให้ความสนใจกับการต่อสู้ในครั้งนี้ สายตานับไม่ถ้วนได้จับจ้องลงไปที่ลานประลองและพวกเขาก็ได้พบกับความจริงที่เห็นได้ชัดว่า พลังอำนาจที่มากมายมหาศาลของ หม่ายิง นั้นเหมาะสมแล้วที่จะถูกจัดอยู่ในศิษย์ 5 อันดับแรก ภายในสำนักฝ่ายใน ตั้งแต่ได้เริ่มการประลองเขาได้ใช้พลังอำนาจของเขาในการข่มเหงผู้อื่นและออกอาละวาดไปทั่วทุกการต่อสู้ของผู้อื่นนับแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน
         
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดคือความแข็งแรงที่ถูกซ่อนเอาไว้ของ เย่ชีเหวิน จริงจะสามารถเทียบเท่าได้กับศิษย์ 5 อันดับแรก
         
ในที่สุด เย่ชีเหวิน ก็ได้เหวี่ยง [ ฝ่ามืออสนีบาต ] ออกไปอย่างรุนแรง พลังอำนาจของมันนั้นก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องของพายุฝนฟ้าคะนองกระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ
         
          “ ก้องคำรามที่ 3 ”
         
          “ ก้องคำรามที่ 4 ”
         
          “ ก้องคำรามที่ 5 ”
         
          “ ก้องคำรามที่ 6 ”
         
เย่ชีเหวิน ได้ยิงออกไปโดยตรงถึง 6 ก้องคำราม ความเร็วในการปล่อยหมัดออกไปนั้นถึงขั้นว่ารวดเร็วมากจนกลายเป็นแสงภาพเบลอ
         
          “ ฮ่าฮ่า นี่เจ้าบ้าไปแล้วอย่างนั้นหรือถึงได้กล้าใช้มือเปล่า ๆ แบบนั้นมารับค้อนขนาดใหญ่ของข้า เหอะเจ้ากำลังมองหาที่ตายโดยแท้ งั้นก็ดีเดี้ยวข้าจะช่วยสงเคราะห์เจ้าด้วยการทำลายมือนั้นให้กลายเป็นผุยผงให้เอง! ” หม่ายิง หัวเราะอย่างชั่วร้ายและน่ากลัว ค้อนขนาดใหญ่ราวกับขุนเขาของเขาทั้งสองที่ปกคลุ่มไปด้วยพลังอำนาจที่หน้าหวาดกลัวได้ฟาดตรงลงที่ เย่ชีเหวิน
         
          “ ตูม! ”
         
เสียงปะทะกันดังสนั่นออกมาจากฝ่ามือของ เย่ชีเหวิน และค้อนคู่ขนาดใหญ่
         
ในทันที ฝูงชนที่ได้เห็นเหตุการณ์การต่อสู้ทั้งหมดถึงกับตกอยู่ในอาการตะลึง เพราะสิ่งที่พวกเขาได้คาดคิดเอาไว้คือมือทั้งสองข้างของ เย่ชีเหวิน สมควรที่จะถูกทำลายโดยตรงจากพลังอำนาจของค้อนคู่ยักษ์ แต่ทว่ามันกลับเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขาได้คิดเอาไว้ ค้อนคู่ขนาดยักษ์จริงได้ถูกทำลายโดยตรงด้วยฝ่ามือของ เย่ชีเหวิน
         
ค้อนขนาดใหญ่ช่างเบาะบางราวกับกระดาษเมื่อได้กระทบเข้ากับฝ่ามือของ เย่ชีเหวิน มันได้ถูกทำลายจนพังพินาศย่อยยับไปกับตา!
         
ราชันย์วานรเหล็กสีเงินนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่งดุจราวกับพวกมันได้เสริมเหล็กเข้าไปในร่างกาย มันเป็นเรื่องยากที่คมดาบและคมหอกธรรมดาจะสามารถสร้างรอยขีดข่วนบ่นร่างกายของพวกมันได้ ซึ่งต้องขอบคุณที่เขาได้ดื่มสุราวานรเป็นประจำ ตลอดระยะเวลา 1 เดือนเขาได้ดื่มสุราวานรเข้าไปเป็นจำนวนมากที่เขาได้ขโมยมันมาจากถ้ำและผลกระทบหลังจากที่ได้ดื่มมันเข้าไปมันก็ช่วยเสริมสร้างร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งมากขึ้นจนเกือบจะถึงในขั้นที่ไร้เทียมทานเลยก็ว่าได้
         
ความแข็งแกร่งของเขาได้มาถึงแล้วในระดับขั้น [ 19 พยัคฆ์ ] ในขณะที่ หม่ายิง มีเพียงแค่ระดับขั้น [ 9 พยัคฆ์ ] หม่ายิง ต้องการที่จะเอาชนะ เย่ชีเหวิน ด้วยพลังอำนาจทั้งหมดที่เขามี โดยที่เขาไม่ได้รับรู้อะไรเลยว่าความแข็งแกร่งของ เย่ชีเหวิน นั้นได้ล้ำหน้าไปไกลเกินกว่าเขาถึง 10 ระดับ ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต่อกรด้วยได้เลยแม้แต่น้อย
         
          “ เกรี้ยวกราดดุจสายฟ้า! ” หลังจากที่ เย่ชีเหวิน ได้ทำลายค้อนไปแล้วนั้นเขาก็ได้ซัดฝ่ามือเข้าไปที่ร่างกายอันแข็งแกร่งของ หม่ายิง
         
          “ ปัง! ” มันสายเกินไปแล้วที่ หม่ายิง จะต่อต้าน เย่ชีเหวิน เสียงระเบิดได้ดังขึ้นร่างกายของเขาบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
         
          “ หยุด! ” ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงระเบิดดังออกมาจากท้องฟ้า
         
หากแต่ เย่ชีเหวิน หาได้สนใจเสียงนกเสียงกานั้นไม่เขาได้ระเบิดอากาศใต้ฝ่าเท้าของเขา โดยใช้แรงจาก [ ย่างก้าวทูตสวรรค์ ] เพื่อไล่ตามร่างกายของ หม่ายิง ที่รอยอยู่บนท้องฟ้า เพียงพริบตาเขาก็ได้ไปปรากฏอยู่เบื้องหลังของ หม่ายิง พลางยกฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาขึ้นและยังคงใช้เคล็ดวิชา [ ย่างก้าวทูตสวรรค์ ] อยู่ เขาได้เริ่มตบไปที่ หม่ายิง อย่างรุนแรงจนร่างกายของเขาบินรอยไปรอยมาอยู่บนท้องฟ้านับหลายครั้ง
         
          “ อสนีบาตฟาดฟัน ! ”
         
          “ อาภรขวานอสนีบาต ! ”
         
          “ พายุอสนีบาตทลายปฐพี ! ”
         
          “ ตูม! ” ร่างสูงใหญ่ของ หม่ายิง ได้ล่วงหล่นมาจากท้องฟ้าและกระแทกเข้ากับพื้นลานประลองอย่างรุนแรง กระดูกทั้งหมดภายในร่างกายถูกทำลาย สภาพโดยร่วมแล้วนับว่าเลวร้ายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวังวนลมปราณที่อยู่รอบ ๆ ร่างกายของเขานั้นได้ถูกทำลายโดยตรงจากการโจมตีอันบ้าคลั่งราวกับเขื่อนแตก วังวนของพลังลมปราณนั้นคือสาระสำคัญที่ช่วยในการบ่มเพาะพลังของจอมยุทธ์และยังเป็นสถานที่รวบรวมพลังลมปราณภายในร่างกาย และถึงแม้ว่าวังวนของพลังลมปราณของเขาจะถูกทำลายนี้มันก็ไม่ได้สงผลบาดเจ็บถึงตาย หากแต่เขาจะไม่สามารถบ่มเพาะพลังของตนได้ อนาคตทั้งหมดของเขาได้ถูกทำลายลงและเขาจะไม่มีวันที่จะสามารถฝึกฝนพลังลมปราณหรือเคล็ดวิชาการต่อสู้ได้อีกต่อไป
         
เย่ชีเหวิน รับรู้ว่าบุคคลที่ชั่วช้าเช่น หม่ายิง นั้นจะต้องหาทางตอบโต้และแก้แค้นเขาอย่างไม่รู้จบเป็นแน่ แต่ในการประมือต่อหน้าฝูงชนขนาดใหญ่เช่นนี้นั้นเขาไม่อาจที่จะฆ่า หม่ายิง ได้ฉะนั้นแล้วทางเลือกที่ดีที่สุดคือการทำลายการบ่มเพาะพลังของมันเสีย มันจะได้ไม่เป็นปัญหาในอนาคตสำหรับเขา
         
          “ เย่ชีเหวิน นี่เจ้ากล้าที่จะไม่ฟังคำข้าหลังจากที่ข้าบอกให้เจ้าหยุดหรืออย่างไร? ” ในเวลานั้นเองก็ได้มีเงาของคนผู้หนึ่งลดลงมาจากท้องฟ้า และก้าวเท้าเข้ามายังในพื้นที่ของลานประลอง รูปร่างของเขาใส่ชุดคลุมสีดำและยังเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักยี่หยวน เขาได้จ้องมองมาที่ เย่ชีเหวิน ด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยว
         
เย่ชีเหวิน รับรู้ได้ว่าผู้อาวุโสระดับสูงที่ใส่ชุดคลุมดำคนนี้นั้นมีนามว่า หวังเจี้ยน เขาเป็นหัวหน้าของตำหนักฝ่ายลงทัณฑ์ของสำนักยี่หยวน เขามีหน้าทีในการลงทัณฑ์ต่อเหล่าศิษย์ทั้งหมดภายในสำนักนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเหล่าศิษย์ถึงได้หวาดกลัวเขามาก แล้วที่สำคัญที่สุดคือ หวังเจี้ยน นั้นไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ที่ดีนักกับ เย่ คงหมิง และพวกเขาทั้งสองก็ต่างสะสมความไม่พอใจเหล่านั้นเอาไว้
         
          “ ภายใต้สายตาของฝูงชนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั้นเป็นศิษย์ภายในสำนักเดียวกัน หากท่านบรรพชนอยู่ที่นี่ เขาย่อมไม่ปล่อยให้ศิษย์คนนี้เจริญเติบโตอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะนำมาซึ่งหายนะต่อสำนักยี่หยวนของพวกเรา ” หวัง เจี้ยน กล่าวออกมาในขณะที่คิ้วของเขานั้นขมวดแน่นบนใบหน้าของเขา
         
          “ ทำร้ายศิษย์ภายในสำนักเดียวกันมันออกดูจะเกินไปหน่อยหลอกมั้ง ท่านทำราวเหมือนกับว่าตัวท่านไม่ได้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นท่านคิดว่าผู้คนที่นี่ตาบอดเช่นนั้นหรือ? มันเป็นเพราะ หม่ายิง คิดที่จะทำร้ายข้าก่อนนอกจากนี้เขาแทบอยากจะฆ่าข้า ที่ข้าทำไปมันก็เป็นเพียงแค่การป้องกันตัวเพียงเท่านั้น! ” เย่ชีเหวิน กล่าวออกไปแบบห้วน ๆ เพราะเขารู้ว่า หวัง เจี้ยน และท่านพ่อของเขา เย่ คงหมิง นั้นเป็นศัตรูกันมาเป็นเวลานานและที่เขาไม่ได้ออกมาพูดก่อนหน้านี้นั้นนั่นก็เพราะว่าเขากำลังมองหาโอกาสที่จะสร้างปัญหาเช่นนี้อยู่
         
          “ หนอยไอ้เจ้าเด็กเหลือขอปากดี! ” หวัง เจี้ยน จองมองไปที่ เย่ชีเหวิน อย่างเย็นชาพร้อมกล่าว “ เจ้าบอกว่ามันเป็นเพียงแค่การป้องกันตัวอย่างนั้นรึ แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ได้รับบาดเจ็บมิหนำซ้ำเจ้ายังทำลายการบ่มเพาะของเขา! นอกจากนี้ หม่ายิง ยังถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะภายในสำนักยี่หยวนของพวกเราและการที่เจ้ากล้าทำลายการบ่มเพาะพลังของเขาเช่นนี้นับว่าเป็นการก่ออาชญากรรมอย่างร้ายแรงต่อสำนัก ”
         
          “ งั้นท่านจะบอกว่าผู้ที่ถูกรังแกก็ไม่สามารถที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองได้เช่นนั้นหรือ นี่มันกฎเกณฑ์บ้าอะไรกัน! ” เย่ชีเหวิน โต้ตอบ “ นอกจากนี้เขายังเป็นอัจฉริยะ ที่ไม่สามารถแตะต้องข้าได้เลยแม้แต่กระบวนท่าเดียวเช่นนี้ เขามันก็ไม่ต่างอะไรจากของเสียเป็นเพียงแค่ขยะ หากสำนักยี่หยวนยังเสียทรัพยากรไปกับการพัฒนาศิษย์เช่นนี้มันอาจกล่าวได้ว่าเป็นการเสียทรัพยากรไปอย่างป่าวประโยชน์โดยแท้! ”
         
          “ และข้ายังขอยืนยันคำเดิมว่าสิ่งที่ข้าได้ทำลงไปนั้นเป็นเพียงแค่การป้องกันตัวเองจากคนชั่วช้าที่ดีแต่ข่มเหงและรังแกผู้อื่นเช่นนี้เพียงเท่านั้นและท่านไม่สามารถที่จะหลอกลวงผู้อื่นได้! ” เย่ชีเหวิน กล่าวออกไปอย่างมั่นคง
         
          “ เหอะถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้าคือหัวหน้าของตำหนักฝ่ายลงทัณฑ์และข้ามีอำนาจในการลงทัณฑ์ทุกรูปแบบ เจ้าได้ทำร้ายศิษย์ภายในสำนักเดียวกันซึ่งหลักฐานมันก็เห็นได้ชัดคาตาอยู่เช่นนี้แล้ว เจ้าไม่สามารถที่จะปฏิเสธต่อการก่ออาชญากรรมของเจ้าเช่นนี้ได้! ” หวัง เจี้ยน จู่ ๆ ก็ได้ใช้อำนาจที่เป็นเผด็จการและกลิ่นอายของผู้เชียวชาญระดับขั้นก่อเกิด ได้ระเบิดกระจายออกไปทั่วทุกสารทิศกลายเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ และยื่นออกไปเพื่อพยายามที่จะคว้าตัว เย่ชีเหวิน พลังลมปราณของเขาได้กลายเป็นกรงเล็บเพื่อพยายามที่จะคว้าตัวของ เย่ชีเหวิน เอาไว้ หากเขาสามารถคว้าไหล่ของ เย่ชีเหวิน ได้แล้วล่ะก็แน่นอนเลยว่าไหล่ของเขานั้นจะต้องหลุดอย่างแน่นอน
         
หนักมาก!
         
ทันใดนั้น เย่ชีเหวิน ก็ได้พยายามที่จะก้าวเท้าออกไปข้างหน้าและใช้เคล็ดวิชา [ ย่างก้าวทูตสวรรค์ ] ของเขาเพื่อที่จะหลีกหนี หากแต่ หวัง เจี้ยน นั้นยังคงที่จะจมปักอยู่กับเขาและพยายามที่จะคว้าตัวของเขาเอาไว้ด้วยกรงเล็บ ซึ่งอย่างไรก็ตามกรงเล็บนั้นจวนที่จะมาถึงตัวของ เย่ชีเหวิน อยู่แล้วนอกไปจากนี้บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มที่จะแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ และ เรื่อย ๆ
         
          “ อ้า ! ” เย่ชีเหวิน ตะโกนออกมาดัง ๆ หลังจากที่เขาถูกทำให้จนมุมโดยพลังอำนาจที่เป็นเผด็จการของ หวัง เจี้ยน และพลังลมปราณที่หนาแน่นได้ล็อคตรงมาที่เขา
         
          “ ชวิ้ง ! ” จู่ ๆ เย่ชีเหวิน ก็ได้ชักใบมีดที่ออกมาจากด้านหลังของเขา เสียงเสียดสีของโลหะได้ดังโหยหวนจนเจาะหูและนี่ก็คือขั้นแรกของเคล็ดวิชา [ ตัดเดือนหนาว ] เคล็ดวิชา [ ตัดเดือนดับ ]
         
9 เงาใบมีดได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและวิ่งผ่านพุ่งตรงไปยัง หวัง เจี้ยน ด้วยความรวดเร็วที่หน้าเหลือเชื่อและมันยังมีอำนาจชั้นบาง ๆ ของเคล็ดวิชา [ ฝ่ามืออสนีบาต ] ปะปนอยู่ในใบมีด
         
9 ใบมีดที่มีพลังอำนาจอันมหาศาลได้แพร่กระจายออกไปทั่วเต็มท้องฟ้าโดยไม่คาดคิดมันได้ปิดกั้นทุกช่องทางของ หวัง เจี้ยน ด้วยพลังอำนาจที่แทบจะเป็นอนันต์
         
หลายคนที่ได้จับจ้องไปยังเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาต่างคิดกันไม่ถึงเลยว่า พลังอำนาจใบมีดของ เย่ชีเหวิน จริงจะดูทรงพลังและหน้ากลัวถึงเพียงนี้ นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา นับตั้งแต่ที่เขาได้รับชัยชนะมาเสียทุกครั้งด้วยการโจมตีเพียงแค่ 1 กระบวนท่านั้น มันไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้เขาแสดงพลังที่แท้จริงออกมาเลยแม้แต่นิด หากแต่เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ทำให้เขาต้องจนมุม มันก็ได้ทำให้เขาจำเป็นที่จะต้องแสดงพลังอำนาจทั้งหมดที่เขามีออกมา
         
ใบมีดลมได้พุ่งไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนถึงขนาดทำให้ฝูงชนที่อยู่โดยรอบนั้นมีอาการปวดแสบปวดร้อน
         
          “ นี่มันอะไรกัน ! ” ดวงตาของ หวัง เจี้ยน นั้นประกายออกมาด้วยความหวาดกลัวในขณะที่เขานั้นไม่ได้คาดคิดว่า เย่ชีเหวิน จริงจะสามารถโจมตีออกมาด้วยเคล็ดวิชาที่มีประสิทธิภาพและทรงพลังเช่นนี้ ใบมีดเหล่านั้นได้พุ่งเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ และทุกสถานการณ์ในตอนนี้นั้นได้อยู่ในสภาวะที่ล่อแหลม
         
ทันใดนั้นเอง สายฟ้าก็ได้ปกคลุมร่างกายของ หวัง เจี้ยน และรีบล่าถอยออกมาหลายก้าวอย่างรวดเร็วภายในพริบตาเพื่อให้ออกจากระยะของการโจมตีจากใบมีด และพุ่งตัวออกไปราวกับระเบิดที่เพื่อที่จะไปคว้าตัวของ เย่ชีเหวิน อีกครั้ง
         
แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังจะทำการโจมตีอยู่อีกครั้งนั้นเองก็ได้มีเสียงดังระเบิดขึ้นออกมาจากท้องฟ้า “ ไอ้ตาเฒ่าเจ้าจริงกล้าที่จะทำร้ายลูกชายของข้า! ”
         
ฝ่ามือขนาดใหญ่ได้ปิดปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและพุ่งตรงลงมายัง หวัง เจี้ยน พลังลมปราณที่กลายเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ได้อยู่ห่างจากเขาไปเพียงแค่ไม่กี่เมตร
         
หวัง เจี้ยน ได้ยื่นทั้งสองฝ่ามือของเขาออกมาและรับการโจมตีนั้นไว้ตรง ๆ
         
          “ ตูม! ” แรงระเบิดได้แพร่กระจายออกไปไกลหลายสิบเมตรแม้แต่ชั้นบรรยากาศโดยรอบก็ยังเกิดการบิดเบี้ยวจากแรงระเบิด
         
#########################################################
         
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ
         
B2 : หวัง อีกแล้วหรอ นี่เจอมา 3 หวัง แล้วนะ มันคงจะไม่ใช่ญาติกันใช่ไหม ??
B4 :ไม่รู้สิแต่รู้สึกสงสาร หม่ายิง ไม่น่ารนหาที่ตายเลย
B3 : อ่าวว่าไง B4 นายกลับมาแล้ว
B4 : อ่าแค่ชั่วคราว จริง ๆ ก็ไม่อยากกลับมาหรอก แต่เห็นแอดบอกว่ามีผู้อ่านหลายคนกำลังเรียกร้องก็เลยมา บวกกับ B1 โดนพักงานไปพอดีมันก็ประมาณนี้แหละ
B3 :อ่าฮ่า อย่างน้อยเจ้าก็ดีกว่าไอ้ B1 ล่ะนะ
B4 :บางทีอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้นะ B3
B3 : เห้อว่าแต่เมื่อไหร่จะจบการประลองซักทีเนี่ยเริ่มเอือมแล้วนะ มีแต่ตัวกาก ๆ สู้ไปก็แพ้ แถมตัวร้ายเรื่องนี้มันยังแบบ…. เห้อ เรื่องอื่นเขายังมีให้พอลุ้น แต่เรื่องนี้แหม่งขอให้อย่าได้แหยม แค่แหยมบทบาดเจ้าก็จบแล้ว 5555 ตัวร้ายเรื่องนี้แม้งโครตน่าสงสาร
B4 : นั้นสิช่างน่าสงสารยิ่งนัก ธรรม ได้สั่งสอนเราเอาไว้ว่าการฆ่าสิ่งมีชีวิตนั้นถือว่าเป็นบาปมหันต์ แม้แต่มดเพียงหนึ่งตัวก็จะทำให้เจ้าตกนรกไปนับ 100 ชาติ !!!!
B2 : เอิ่มท่าแค่มดแล้วมันจะนานขนาดนั้นบางทีตายไปแล้วคงไม่มีโอกาศได้กลับมาเกิดใหม่กันแล้วล่ะ
#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม