บทที่ 27 - ขั้นที่่ 7 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง

ตลอดภายในระยะเวลา 3 ปีที่ได้มีการจัดการแข่งขันภายในสำนักฝ่ายในขึ้นมา พวกเขาไม่เคยเจอะเจอม้ามืดอย่างเช่น เย่ชีเหวิน มาก่อน การที่เขาได้รับชันชนะเลิศในการแข่งขันนั้นจึงเป็นข่าวที่ใหญ่ที่สุดภายในสำนักยี่หยวน
         
ไม่เคยมีใครรู้จักและไม่เคยมีใครคิดมาก่อนว่า เย่ชีเหวิน นั้นจะสามารถเอาชนะเลิศในการแข่งขันการประลองครั้งนี้ นับจากนี้เป็นต้นไปชื่นของ เย่ชีเหวิน จะจาลึกเข้าไปในจิตใจของพวกเขาทุกคน
         
หลังจากที่การแข่งขันการประลองได้จบลง ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับไปที่จวนของตน เพื่อรับประทานอาหารเย็นร่วมกันกับตระกูลของพวกเขา
         
เว้นเสียแต่ เย่ฟง ที่ยังคงอยู่ในการฝึกฝนและปิดประตูของตน จึงมีเพียงแค่ เย่หรูเชว่ ที่ได้มารับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
         
ทุกคนในตระกูลต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเพราะว่า เย่ชีเหวิน ได้กลายเป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันโดยไม่คาดคิด แม้ว่าในรอบที่ผ่านมา เย่ฟง และ เย่หรูเชว่ เองก็เป็นผู้ชนะเลิศเช่นกันและได้กลายเป็นศิษย์หลัก หากแต่พวกเขานั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะอยู่แล้วจึงไม่น่าแปลกใจนัก แต่อย่างไรก็ตาม เย่ชีเหวิน นั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นเพียงแค่เด็กที่มีความสามารถธรรมดาและปานกลางมาโดยตลอด หากแต่ในวันนี้พลังอำนาจของเขากระปะทุแล้วเพิ่มพูนขึ้นอย่างกะทันหันจนถึงขนาดได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขัน ซึ่งมันได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ตระกูลของเขาเป็นอย่างมาก
         
          “ เหวิน’เอ๋อ ก่อนหน้าเจ้าเป็นเพียงแค่ [ ระดับขั้นที่ 4 ลมปราณก่อตั้ง ] ใช่หรือไม่ ? แต่ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 1 เดือนเจ้ากับมาถึงใน [ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] มิหนำซ้ำเคล็ดวิชาใบมีดของเจ้ายังดูเหมือนว่าจะเป็น [ เคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับขั้นกลาง ] เจ้าทำได้อย่างไรกันถึงได้ฝึกฝนและพัฒนาการบ่มเพาะพลังมาถึงขั้นนี้ได้ มันอาจกล่าวได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นพัฒนาการที่ดียิ่งกว่าเหล่าศิษย์หลักทุกคนเสียอีก ! ” เย่คงหมิง ถามอย่างตรงไปตรงมา
         
          “ เกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่ตัวลูกเองก็ไม่ทราบเช่นกัน หากแต่ดูเหมือนว่าลูกจะได้รับการตรัสรู้โดยฉับพลัน จึงทำให้การบ่มเพาะพลังของลูกนั้นรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ! ” เย่ชีเหวิน กล่าวตอบคำของ เย่คงหมิง เกี่ยวกับเรื่องนี้
         
          “ การตรัสรู้ ! ” เย่คงหมิง ขมวดคิ้ว แต่เขานั้นไม่เคยสงสัยในตัวของ เย่ชีเหวิน เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเขารู้ดีว่า เย่ชีเหวิน นั้นไม่ใช่บุคคลที่จะพูดเรื่องโกหก
         
แต่อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องของการตรัสรู้แล้วนั้นไม่ใช่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ หากแต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่อยู่ดีดีจะสามารถตรัสรู้ขึ้นเองได้โดยที่ไม่มีเหตุผล มันจะต้องมีบางสิ่งหรือเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดการตรัสรู้ขึ้น
         
          “ ดีมากเจ้าคนเก่ง ! ” เย่หรูเชว่ ตบลงบนไหล่ของ เย่ชีเหวิน “ ฮึฮึ ที่สามารถทำให้เจ้าหนูน้อย ตงฟาง ไป๋ นั้นคุกเข่าลงในด้านหน้าของเจ้าได้ ! ”
         
เย่ชีเหวิน รู้สึกทำอะไรไม่ถูก เพราะเพียงใบหน้าของเธอในตอนนี้นั้นช่างดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็กน้อยยิ่งนัก ถึงแม้ว่าเธอจะมีอายุที่มากกว่า ตงฟาง ไป๋ ก็ตาม
         
          “ แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้ชนะเลิศ แต่เจ้าไม่สามารถประเมินตนเองสูงไป ภายในสำนักฝ่ายหลักนั้นยังมีศิษย์หลักที่มีความสามารถที่โดดเด่นอยู่อีกมาก นี่ยังไม่พูดถึงโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ค้ำฟ้า ที่โลกภายนอกนั้นยังมีจำนวนอัจฉริยะอยู่อีกมากมายก่ายกองถึงในขนาดที่เจ้าไม่อาจที่จะสามารถจินตนาการออกได้ ! ” เย่คงหมิง ต้องการที่จะเตือน เย่ชีเหวิน เพื่อไม่ให้เขาต้องกลายเป็นคนที่เย่อหยิ่งและหลงตัวเอง
         
          “ ครับท่านพ่อ ! ” เย่ชีเหวิน ว่ากล่าว
         
          “ อีก 3 เดือนต่อมาจะมีการแข่งขันของศิษย์หลักและตระกูลจางที่จะจัดขึ้นร่วมกันที่ดินแดนโลหิตหยวน ซึ่งพวกเจ้าทั้งสามจะต้องลงคัดเลือกในการแข่งขันครั้งนี้เพื่อที่จะช่วยเหลือกันในดินแดนโลหิตหยวน ! ” เย่คงหมิง ว่ากล่าว
         
          “ โปรดท่านพ่ออย่าได้เป็นห่วง ! ” เย่หรูเชว่ กล่าวอย่างหลกล่น “ พวกเราจะช่วยให้พี่ใหญ่เป็นผู้ที่ชนะเลิศในครั้งนี้เอง ! ”
         
          “ ข้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับพี่ชายของเจ้า หากแต่ข้ากังวลเกี่ยวกับความชะล่าใจของเจ้า ! ” ในช่วงเวลานั้น เย่คงหมิง ก็ได้กล่าวขัดขึ้นมา
         
          “ เช่นเดียวกับพี่ชายของเจ้าที่กำลังฝึกฝนและปิดประตูของตนอยู่ในขณะนี้ ในวันพรุ่งนี้เจ้าก็สมควรที่จะปิดประตูตนเองเพื่อทำการฝึกฝนเป็นระยะเวลาตลอด 3 เดือนด้วยเช่นกัน ! ” เย่คงหมิง ว่ากล่าว
         
          “ ข้าทราบแล้ว! ” เย่หรูเชว่ เบะปากพร้อมกล่าว
         
หลังจากที่ได้ท่านอาหารเย็นเสร็จ เย่ชีเหวิน ก็ไม่คิดที่อยู่ต่อ เขาได้กลับไปยังจวนเล็ก ๆ ของเขาและเริ่มที่จะฝึกฝนการบ่มเพาะพลังของตน
         
รางวัลในการชนะเลิศการแข่งขันการประลองในครั้งนี้นั้นช่างมากมายนัก 2,000 [ ศิลาวิญญาณระดับต่ำ ]นอกจากนี้เขายังจะได้รับเงินเป็นจำนวน 300 ตั๋วเงินต่อเดือน เมื่อเทียบกับบรรดาศิษย์คนอื่น ๆ แล้วนั้นเขาจะมีพัฒนาการที่ไร้ขอบเขตและจะมีการก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว
         
นอกเหนือไปจาก 2,000 [ ศิลาวิญญาณระดับต่ำ ]แล้ว เขายังได้รับของกำนัลชิ้นสำคัญเป็นเม็ดโอสถสีทองมาด้วยกัน 3 เม็ด ซึ่งเม็ดโอสถเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีภายในสำนักยี่หยวนว่ามันสามารถช่วยเพิ่มระดับการบ่มเพาะพลังให้แก่ผู้ที่กลั่นมันได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และมันจะมอบเป็นรางวัลให้แก่ผู้ที่สามารถกลายเป็นศิษย์หลักได้เท่านั้น ซึ่งในตอนนี้เหล่าศิษย์ที่เป็น 5 อันดับแรกในการแข่งขันได้ถูกรับเลือกให้กลายเป็นศิษย์หลัก ฉะนั้นแล้ว เย่ชีเหวิน และคนที่เหลืออีก 4 ตนจึงต่างได้เม็ดยาเหล่านี้เพื่อเป็นของกำนัล
         
แต่เริ่มเดิมที เย่ชีเหวิน มีเพียงแค่ความต้องการที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเขาเท่านั้น แม้ว่าในตอนนี้เขาจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดภายในบรรดาศิษย์ฝ่ายในแล้ว หากแต่ภายในฝ่ายหลักแล้วนั้นยังคงมี เสือหมอบ มังกรซ่อน อยู่อีกเป็นจำนวนมาก มันอาจมีวันหนึ่งที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นสิ่งสำคัญเป็นอันดับแรกในตอนนี้คือเขาต้องพยายามที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตน ตราบใดที่เขามีความแข็งแกร่งที่มากพอต่อให้ใครหน้าไหนกล้าที่จะมากระตุ้นหรือระรานเขา เขาก็ไม่กลัว
         
เย่ชีเหวิน ได้หยิบขวดหยกที่บรรจุเม็ดโอสถออกมา เขาเท่มันลงมาในมือทั้งสามเม็ดและกลืนมันเข้าไปพร้อมกับเข้าไปยังพื้นที่ลึกลับ
         
เม็ดโอสถสีทองนั้นถูกย่อยสลายอย่างรวดเร็วและกลายเป็นความร้อนเริ่มไหลเวียนเข้าไปภายในร่างกายของ เย่ชีเหวิน
         
ความร้อนได้เพิ่มสูงขึ้นภายใน ดันเถียน พลังปราณ เริ่มที่จะหมุนจะหมุนวนอย่างบ้าคลั่งภายในร่างกายของเขา พลาง ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
         
ในขณะที่พลังปราณได้หมุนวนอย่างบ้าคลั่งภายในร่างกายของเขา มันก็เริ่มค่อย ๆ ที่จะเบาลงและเบาลงจนอยู่ในสภาพที่คงที่
         
สาระสำคัญของ [ อำนาจหยกพิสุทธิ์ ] ได้เริ่มหลั่งไหลเข้ามาภายในจิตใจของ เย่ชีเหวิน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันร่วมไปถึงทำให้เขาสามารถมีความเข้าใจต่อเคล็ดวิชาการต่อสู้เพิ่มมากขึ้น
         
          “ ตูม ! ” เย่ชีเหวิน ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปเนินนานเท่าใด แต่ในที่สุดเขาก็สามารถทลายกำแพงก้าวผ่านไปยังระดับขั้นต่อไปได้เสียที
         
ในที่สุดเขาก็ได้มาถึง [ ระดับขั้นที่ 7 ลมปราณก่อตั้ง ]
         
ด้วยความช่วยเหลือจากเม็ดโอสถสีทอง 3 เม็ด ในที่สุดเขาก็สามารถก้าวไปยัง [ ระดับขั้นที่ 7 ลมปราณก่อตั้ง ] ได้โดยตรงจาก [ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 6 ลมปราณก่อตั้ง ] แม้แต่ระดับความแข็งแกร่งของเขาก็ยังเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นจำนวนมาก
         
ก่อนหน้านี้เขาได้ครอบครอง [ พลังอำนาจระดับ 20 พยัคฆ์ ] หากแต่ทว่าในตอนนี้เขาได้เพิ่มขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดถึง [ พลังอำนาจระดับ 30 พยัคฆ์ ] มันเป็นสิ่งที่เขาได้มาหลังจากที่เขาทลายผ่านไปยัง [ ระดับขั้นที่ 7 ] ซึ่งเขาไม่ได้คาดหวังว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นจะเพิ่มมาอย่างมากมายถึงเพียงนี้
         
ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณสุราวานรที่ทำให้ เย่ชีเหวิน มีความแข็งแรงราวกับพายุเฮอริเคนเช่นนี้
         
เขามองออกไปยังภายนอกและเห็นว่ามันยังคงเช้าอยู่ เย่ชีเหวิน จึงได้เริ่มฝึกฝนตนอีกครั้ง  
         
.......................................
         
วันเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่พริบตามันก็กินเวลาไปนับเดือน
         
ด้านหลังของ[ หุบเขาฉิงฟง ]มีรูปเงาของชายหนุ่มผู้หนึ่ง
         
          “ ตัดจันทร์หาย ! ” เสียงร้องได้ก้องกังวานภายในป่าใหญ่ พลังปราณใบมีดได้ตัดออกไปเป็นแนวนอน ต้นไม้ใหญ่ที่ขวางหน้ามันได้ถูกต้นจนมันสิ้นจนแถบจะเห็นพื้นดิน
         
          “ เคล็ดวิชา [ ตัดจันทร์หาย ] ในที่สุดก็ฝึกฝนได้ถึงเกือบระดับขั้นตอนสุดท้ายได้เสียที ! ” พลังปราณของ เย่ชีเหวิน นั้นถูกใช้ออกไปจนหมด เหงื่อได้ไหลออกเต็มทั่วร่างกายของเขา
         
เย่ชีเหวิน ได้ทุ่มเวลาและจิตวิญญาณชี่ทั้งหมดไปกับการฝึกเคล็ดวิชา [ ตัดจันทร์หนาว ] เขาได้ฝึกฝนมาถึงแล้วใน [ ดินแดนที่ 3 เชี่ยวชาญ ] แม้ว่าเขาจะยังไปไม่ถึงใน [ ดินแดนที่ 4 สูงสุด ] หากแต่ความแข็งแรงของ เย่ชีเหวิน นั้นก็เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมากมายแล้ว
         
แม้ว่าช่วงการโจมตีของ [ ตัดจันทร์เสี้ยว ] นั้นจะไม่เหมือนกับ [ ตัดจันทร์หาย ] ที่การโจมตีของมันนั้นคือการโจมตีแบบเจาะจง แต่ละครั้งที่โจมตีพลังปราณใบมีดจะถูกปล่อยออกไปในจำนวนที่มากและพุ่งตรงไปยังบุคคล ๆ หนึ่ง แต่ว่าพลังอำนาจของมันนั้นจะน่ากลัวมากยิ่งขึ้นหากฝึกฝนไปจนถึงใน [ ดินแดนที่ 4 สูงสุก ] มันจะสามารถปล่อยออกมาได้ถึง 9 ใบมีดทับซ้อนกัน ซึ่งมันจะปล่อยพลังอำนาจที่น่ากลัวออกมาถึง 10 เท่า
         
และบัดนี้ เย่ชีเหวิน สามารถฝึกฝนมันมาได้ถึงในระดับที่เขาสามารถปล่อย 5 ใบมีดทับซ้อนกันออกมาได้ ซึ่งเขาสามารถฟาดฟันออกไปได้ถึง 3 ครั้ง
         
ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาในที่สุดระดับการบ่มเพาะพลังของ เย่ชีเหวิน ก็ได้มาถึงใน [ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 7 ลมปราณก่อตั้ง ] แม้แต่ความแข็งแรงของเขาเองก็ยังเพิ่มมาถึงในระดับขั้น [ 50 พยัคฆ์ ] และนอกเหนือไปจากการฝึกฝนในวิชาใบมีดอย่างหนักแล้วเคล็ดวิชา [ ย่างก้าวทูตสวรรค์ ] ของเขาก็ยังพัฒนามาได้ถึงในระดับ [ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ] ยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชา [ ตัดจันทร์หาย ] ก็ยังฝึกฝนจนมาถึงใน [ ดินแดนที่ 3 เชี่ยวชาญ ] ซึ่งมันอาจบอกได้เลยว่าเขาในตอนนี้นั้นมีความมั่นใจที่มากพอว่าเขาจะสามารถเอาชนะผู้ที่อยู่ใน [ ระดับขั้นที่ 8 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ลงได้อย่างง่ายดาย หรือ แม้แต่ผู้เชียวชาญ [ ระดับขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ก็ตาม ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเขา
         
และในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขานั้นไม่ต้องการที่จะฝึกฝนต่อ หากแต่[ ศิลาวิญญาณระดับต่ำ ]ของเขานั้นได้ถูกดูดซับไปแล้วกว่าถึง 4,000 ก้อน ในขณะที่เขาได้ฝึกฝนเคล็ดวิชา [ ย่างก้าวทูตสวรรค์ ] และเคล็ดวิชา [ ตัดจันทร์หาย ]
         
มันเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาต้องกลับกลายไปเป็นคนจนและขัดสนศิลาวิญญาณดั่งเช่นเมื่อกาลก่อน !
         
ด้วยความช่วยเหลือจากพื้นที่ลึกลับทำให้การฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้ของเขานั้นพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าการดูดซับปริมาณของศิลาวิญญาณนั้นก็เป็นไปอย่างรวดเร็วจนหน้ากลัวเช่นกัน
         
ในตอนนี้เขาจะต้องหาทุกวิถีทางในการเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้
         
#########################################################
         
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ
         
B3 : บทนี้ดูเซอร์ไพรส์เยอะเนาะ ขั้นที่ 7 ไม่เท่าไหร่ มีจุดสูงสุดด้วย ตอนแรกก็ 30 เสือ แต่มาหลัง ๆ แม้งปาไป 50 นี่ [ ม. ] จะเอาไปเปิดฟาร์มเลี้ยงเสือเลยไหมท่าจะเยอะขนาดนี้นะ
B2 : อันนั้นไม่เท่าไหร่แต่ผมนี่งงเลยกับ [ ก้าวแรกสู่ความสำเร็จ ] กับ [ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ] เนี่ยคือมันมาอีกแล้วหรือ คือไอ้ชื่อตรงนี้เนี้ย มันจะใช้แทนระดับ 1 2 3 4 กับทุกเคล็ดวิชาเลยใช่ไหม
B4 : ดูจากทรงว่าคงใช่ แต่เห็นท้ายบททิ้งปริศนาเอาไว้นะว่าจะไปหาหิน หาหินนี่ก็ตามฟาร์มใช่ไหม ??
B3 : ฟาร์มหรอ วิธีที่เร็วที่สุดก็คงไม่ต้องบอกนะว่ามันคืออะไร นิสัยชั่ว ๆ เลว ๆ แบบนี้ ก็คงไม่พ้นปล้นแล้วก็ฆ่า
B4 : ถามจริง นั้นพระเอกจริงหรอ !!!
B2 : เออใช่อย่ามามั่วนะไอ้สามนั้นมันตัวร้ายฝั่ง [ ม. ] หรือป่าว
B3 : เหอะเดะ [ ม. ] คอยดู……เดะ [ ม. ] คอยดู้ว !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม