บทที่ 29 - ความขัดแย้งภายในสมาคมการค้า

เย่ชีเหวิน เดินตามผู้ดูแลเข้าไปยังภายในของสมาคมการค้า แต่ทว่าทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก “ อาเหวิน ! ”
         
ในทันที เย่ชีเหวิน ได้หันกลับไปมองแล้วได้เห็น หวัง เหลี่ย กำลังเดินมาอย่างมีความสุขพลางหัวเราะชอบใจกล่าว “ ข้าคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่ามันจะเป็นเจ้า ! ”
         
          “ คำนับท่านนายน้อย 4 นี่พวกท่านทั้ง 2 เคยเจอกันมาก่อนเช่นนั้นหรือ ! ” ผู้ดูแลเดินไปยัง หวัง เหลี่ย และกล่าวด้วยท่าทีที่เคารพ
         
          “ นายน้อย 4 … นี่สมาคมการค้าเป็นตระกูลของเจ้าอย่างนั้นหรือ ? ” เย่ชีเหวิน กล่าวด้วยท่าทางที่ประหลาดใจ เขารู้ว่าตระกูลของ หวัง เหลี่ย นั้นเป็นตระกูลที่มีอิทธิพล แต่เขาไม่ได้คาดคิดจริง ๆ ว่ามันจะเป็นสมาคมการค้า ฉิงฟง
         
          “ ใช่ ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน ? ” หวัง เหลี่ย ถามกลับไปด้วยลักษณะท่าทางที่ค่อนข้างงุนงง
         
          “ มันเป็นภารกิจที่ข้าจะต้องมาเป็นคุ้มกัน! ” เย่ชีเหวิน กล่าว
         
          “ นี่เจ้าได้รับภารกิจนี้! ” หวัง เหลี่ย กล่าวด้วยรูปลักษณ์รุนแรง “ ดีท่าเช่นนั้นข้าจะพูดคุยกับเจ้าภายใต้นามของสมาคมการค้า! ”
         
หลังจากที่ หวัง เหลี่ย ได้ไล่ผู้ดูแลของตนออกไป เย่ชีเหวิน ก็ได้กล่าวถาม “ มันเกิดขึ้นอะไรกับตระกูลของเจ้า มันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือที่พวกเขาจะมอบค่าตอบแทน[ ศิลาวิญญาณระดับต่ำ ]ถึง 3,000 ก้อนเพียงแค่สำหรับภารกิจคุ้มกัน ?! ”
         
          “ จริง ๆ แล้วค่าแทนเหล่านี้ไม่ได้ถูกจ่ายออกไปโดยตระกูลของเรา! ” หวัง เหลี่ย กล่าวออกมาหลังจากที่ค่าตอบแทนถึง 3,000 [ ศิลาวิญญาณระดับต่ำ ]นั้นแน่นอนว่าไม่ใช่จำนวนที่น้อย มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่พวกเขาจะจ่ายออกไปให้แก่บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่คนในตระกูลของตน
         
          “ ตระกูลสมาคมการค้าของเรานั้นได้ถูกการยอมรับว่าเป็นค่ารับใช้ของท่านเจ้าเมือง เทียนหยวน! ” หวัง เหลี่ย อธิบาย “ มันเป็นระยะเวลานานที่ตระกูลของพวกเราต้องคอยรวบรวมส่วนผสมในการปรุงแต่งโอสถในแต่ละชนิดต่าง ๆ เพื่อส่งมอบไปยังพระราชวังของท่านเจ้าเมือง! ”
                   
          “ และคราวนี้พวกเราจะต้องทำการขนส่งส่วนผสมในการปรุงแต่งโอสถไปยังพระราชวังของท่านเจ้าเมือง และเมื่อไปถึงที่นั่นแล้วพระราชวังเจ้าเมืองจะเป็นผู้ที่จ่ายค่าตอบแทนทั้งหมดให้เองซึ่งไม่ได้ถูกจ่ายโดยตระกูลของพวกข้า! ” หวัง เหลี่ย กล่าว
         
          “ ส่วนผสมในการปรุงแต่งโอสถมันมีความสำคัญต่อท่านเจ้าเมืองพระราชวังมากถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ? ” เย่ชีเหวิน กล่าวถาม เมือง เทียนหยวน นั้นเป็นเมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ ณ ชายแดนของจักรวรรดิ มันไม่สามารถนำไปเทียบกับตัวเมืองขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายในจักรวรรดิได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีประชากรมากกว่าถึง 200,000 คนที่อยู่ภายในตัวเมืองและเมื่อนำไปร่วมกับเมืองขนาดเล็กที่เป็นเมืองย่อยของพวกเขาก็จะมีประชากรรวมทั้งสิ้นมากกว่า 500,000 คน ที่อยู่ภายในกำมือของท่านเจ้าเมืองพระราชวัง นอกเหนือไปจากนั้นแล้วเมืองของพวกเขายังตั้งอยู่ในสถานที่ที่ใกล้เคียงกับ[ หุบเขาฉิงฟง ] สถานที่ที่รวบรวมส่วนผสมของโอสถต่าง ๆ ไว้มากมาย มันมิใช่เรื่องยากเลยที่พวกเขาจะไปเก็บเกี่ยวพวกมันยิ่งไปกว่านั้นอำนาจของท่านเจ้าเมืองพระราชวังก็ยังถือได้ว่ามีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในบริเวณเทือกนี้
         
          “ เรื่องนั้นข้าไม่ทราบไม่แม้แต่ท่านพ่อของข้าก็ยังพยายามที่จะหลีกเลี่ยงในการพูดคุยเรื่องเหล่านี้ฉะนั้นแล้วข้าจึงมิอาจที่จะรู้ได้! ” หวัง เหลี่ย กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ฝืน ๆ
         
เย่ชีเหวิน มีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่าภายในตระกูลหวังนั้น ไม่ได้มีความสามัคคีกันมากนักเพราะว่าท่านพ่อของ หวัง เหลี่ย ได้จัดทำสมาคมการค้าที่มีขนาดใหญ่ หวัง เหลี่ย นั้นมีพี่ชายอยู่ด้วยกันถึง 3 คน พวกเขาต่างเป็นพวกที่มีความทะเยอทะยานที่สูงและ หวัง เหลี่ย ก็เป็นบุตรคนสุดท้องที่กำเนิดมาโดยสาวใช้ ในวันที่ หวัง เหลี่ย จำความได้นั้นพี่ชายของเขาทั้ง 3 ก็ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่และดำเนินการทำการค้าของตระกูล แม้แต่หลานชายของเขาก็ยังมีอายุที่เป็นวัยเดียวกันกับเขา ซึ่งในความเป็นจริงสถานนะภายในตระกูลของเขานั้นไม่ได้ถือว่าสูงอะไรมากนักแม้ว่าจะเป็นถึงนายน้อยที่สี่ก็ตาม นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เขาใช้ระยะเวลาในการบ่มเพาะพลังของตนอยู่[ หุบเขาฉิงฟง ]มากกว่าที่จะใช้เวลาอยู่กับตระกูลของตน
         
          “ ข้าพยายามที่จะขอความช่วยเหลือจากเจ้า หากแต่ข้ากลับหาเจ้าไม่เจอเลยในตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา! ” หวัง เหลี่ย กล่าว
         
          “ พอดีว่าข้าไปฝึกฝนอยู่ที่ด้านหลังของ[ หุบเขาฉิงฟง ]! ” เย่ชีเหวิน ตอบกลับไปโดยที่ไม่ปิดบังใด ๆ
         
          “ นี่เจ้ากลายเป็นคนบ้าในการบ่มเพาะพลังไปแล้วอย่างนั้นรึ! ” หวัง เหลี่ย กล่าวออกมา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถดูระดับการบ่มเพาะของ เย่ชีเหวิน ได้ก็ตามหากแต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าระดับการบ่มเพาะพลังของ เย่ชีเหวิน นั้นมันกลายเป็นลึกล้ำมากขึ้น
         
เย่ชีเหวิน ยิ้มโดยไม่ได้กล่าวอะไร หากว่ากันตามจริงแล้วพรสวรรค์ของ หวัง เหลี่ย นั้นสมควรที่จะอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดีมิฉะนั้นแล้วระดับการบ่มเพาะพลังของเขานั้นคงจะไม่ได้ล้ำหน้า เย่ชีเหวิน ไปในคราแรก แต่ถึงอย่างไรก็ตามตัวของเขานั้นเป็นคนที่ค่อนข้างจะขี้เกียจ หากเขาฝึกฝนการบ่มเพาะพลังของตนอย่างไม่ลดละแล้วล่ะก็เขาในตอนี้ก็สมควรที่จะมาถึงใน [ ระดับขั้นที่ 5 ลมปราณก่อตั้งแล้ว ]
         
พวกเขาทั้งสองต่างพูดคุยและหัวเราะจนเดินไปถึงยังห้องโถงใหญ่บนชั้นสองของสมาคมการค้าฉิงฟง ภายในห้องโถงนั้นเต็มไปด้วยเหล่าชายฉกรรจ์นับ 10 คนพวกเขาทั้งหมดต่างเป็นจอมยุทธ์ที่มีอายุราว 35 ปี พวกเขาทุกคนต่างเป็นผู้ที่ได้รับเชิญมาในการคุ้มกันการขนส่งส่วนผสมในการปรุงแต่งโอสถของสมาคมการค้าในครั้งนี้
         
          “ โอ้วนั้นมัน หวัง เหลี่ย ไม่ใช่หรอกหรือ ? ” ทันใดนั้นชายหนุ่มแต่งตัวในชุดคลุมจีน ได้เดินออกมาจากภายในกลุ่มของเหล่าจอมยุทธ์ชายฉกรรจ์พวกนั้นแล้วเดินตรงมายังพวกเขา
         
ใบหน้าของ หวัง เหลี่ย ค่อนข้างบิดเบี้ยวเขาได้กระซิบกับ เย่ชีเหวิน และอธิบายว่านี่คือบุตรชายของพี่ชายคนโตและก็เป็นหลานของเขามีนามว่า หวังดิ้ง และเป็นที่แน่นอนว่าพวกเขานั้นไม่ค่อยถูกกัน
         
          “ โว้วดูจอมยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมด้านข้างของข้าสิ เทียบกับเด็กที่ยังไม่หย่าน้ำนมในด้านข้างของเจ้านั้นมันอะไรกัน? ” หวังดิ้ง หัวเราะอย่างก้าวร้าว
         
          “ ฮ่าฮ่า! ” เมื่อได้ยินคำพูดของ หวังดิ้ง เหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ด้านข้างของเขาถึงกับต้องหัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง
         
          “ เจ้าโง่ คนที่เจ้ากำลังพูดถึงอยู่คือผู้ชนะเลิศในการแข่งขันการประลองภายในสำนักฝ่ายในของสำนักยี่หยวน! ” หวัง เหลี่ย ตะโกนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่แดงกล่ำ
         
          “ ฮ่า ๆ ข้าเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าผู้ที่ชนะเลิศในการแข่งขันการประลองภายในสำนักยี่หยวนนั้น จะเป็นเพียงแค่เด็กไร้เดียงสาถ้าให้พูดข้าคิดว่าเจ้าคงที่ยังไม่เคยจะได้เห็นเลือดเลยเสียด้วยซ้ำหรอกมั้ง ? ต่อให้มีเจ้าอีกเสียถึง 5 คนข้าก็ยังสามารถเอาชนะเจ้าได้อย่างสบาย ๆ ภายในฝ่ามือเดียว! ” จอมยุทธ์ 35 ปี กล่าวออกมาพลางหัวเราะเสียงดัง
         
แม้แต่ส่วนจอมยุทธ์ที่เหลือก็ยังคล้อยตาม ถึงแม้ว่าสำนักยี่หยวนนั้นจะมีชื่อเสียงโด่งดัง หากแต่สำหรับจอมยุทธ์เหล่านี้ที่ได้เห็นกองเลือดมาแล้วมากมาย ชีวิตของพวกเขาถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายและพึ่งพาได้เพียงแค่อาวุธของตนภายในสนามรบฉะนั้นแล้วเหล่าศิษย์ของสำนักยี่หยวนจึงไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าดอกไม้ที่อยู่ในตู้กระจก
         
ส่วนใหญ่จอมยุทธ์เหล่านี้นั้นมีระดับการบ่มเพาะพลังต่ำสุดอยู่ใน [ ระดับขั้นที่ 6 ] และบางคนก็ยังเป็น [ ระดับต้นขั้นที่ 8 ] พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นจอมยุทธ์ที่ก้าวผ่านสมรภูมิมามากมาย พวกเขาได้เคยเห็นเลือดและสนามรบมากแม้แต่กระทั่งการฆ่าคน
         
แต่ทว่าทันใดนั้นเอง เย่ชีเหวิน ก็ได้ก้าวเท้าของเขาออกไปเพียงพริบตาเขาได้ไปปรากฏยังเบื้องหน้าของจอมยุทธ์ที่ว่างท่าทำเป็นโอ้อวด พร้อมเหวี่ยงฝ่ามือฟาดลงไปที่ใบหน้าของเขา
         
          “ ปัง ! ” จอมยุทธ์ที่ดีแต่โอ้อวดนั้นถูกตบจนปลิวรอยกระเด็นออกไป ฟันของเขาถูกทำลายจนหมดปากและหลุดกระจายออกไปตามพื้น ร่างกายของเขานั้นหมุนเป็นเกรียวราวกับว่าวที่ขาดสะบัน พลางพุ่งตัวกระแทกเข้ากับผนังกำแพงอย่างรุนแรง จนเกิดรอยแตกรูปร่างคล้ายใยแมงมุมกระจายออกไปทั่วกลายเป็นวงกว้าง ก่อนที่ร่างกายของจอมยุทธ์ชายฉกรรจ์จะล่วงหล่นลงมา ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ไม่มีใครอาจรู้ได้เลยว่าเขานั้นเป็นหรือตาย
         
          “ รนหาที่ตายโดยแท้ เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถดูถูกสำนักยี่หยวนของข้าได้อย่างนั้นหรือ ? ” เย่ชีเหวิน กล่าวพร้อมมองด้วยสายตาที่เหยียดหยาม
         
เงียบ!
         
ในห้องโถงต่างตกอยู่ในความเงียบอย่างสมบูรณ์
         
เขาเป็นถึง [ ระดับจุดสูงสุดขั้น 6 ] กับถูก เย่ชีเหวิน ตบตายภายในฝ่ามือเดียว
         
เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหมดถึงกับตกตะลึงและเต็มไปด้วยไฟแค้น
         
          “ นี่เจ้ากล้าทำร้ายน้องสี่! ”
         
          “ หักกระดูกมัน ! ”
         
          “ หักกระดูกที่อยู่ภายในร่างกายของมันทั้งหมด! ”
         
เหล่าจอมยุทธ์ที่เต็มไปด้วยไฟแค้นต่างพุ่งตัวเข้าใส่ เย่ชีเหวิน อย่างสุดกำลัง พวกเขาต่างเป็นถึง [ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 6 ลมปราณก่อตั้ง ] และบางคนที่อยู่ใน [ ระดับขั้นที่ 7 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ก็ได้ส่งสายตาที่คุกคามมายังเขา
         
เย่ชีเหวิน ไม่ได้มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาได้ใช้ทักษะ [ ย่างก้าวทูตสวรรค์ ] พร้อมกับเหวี่ยง [ ฝ่ามืออสนีบาต ]
         
          “ ปัง ! ” จอมยุทธ์ที่ถูกอัดด้วยฝ่ามือของ เย่ชีเหวิน ต่างกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับกระเด็นรอยออกไปนอกหน้าต่าง
         
          “ ปัง ! ” จอมยุทธ์อีกคนถูก เย่ชีเหวิน เตะอย่างรุนแรงจนไปกระแทกเข้ากับโคนเสา
         
……………….
         
ไม่มีจอมยุทธ์คนไหนเลยที่จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้กับ เย่ชีเหวิน ได้ พวกเขาต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ด้วยความแข็งแรงอันมหาศาลของ เย่ชีเหวิน มันทำให้พวกเขาถึงกับต้องลงไปนอนกองกับพื้น
         
#########################################################
         
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ
         
B2 : ทาม ! ทาม !! ทาม !!! วู้ !!!!!!!!!!!!!! เป็นไงล่ะมายุ่งกับพี่เหวิน [ ก. ] ไอ้พวกไก่เขี่ย
B3 : โครตอับอาย รู้สึกเริ่มจะไม่มีที่ยืนและกับเรื่องนี้
B2 : 55555 เด็กยังไม่สิ้น กลิ่นน้ำนมอย่างนั้นหรือ 55555 เดะรู้ !! เดะรู้เลย !!!!!!! ถ้ายังไม่อยากให้กิจการต้องล่มข้อร้องครับ อย่าแหยมกับพี่เหวิน คร๊าบ !!! วู้ !!!!!! ฟิวมันมา ๆ ๆ
B3 : อาการอย่างหนัก
B4 : เริ่มกลายจะเป็นบ้า
B3 : เห้อนิยายเรื่องนี้นับวันตัวร้ายแม้งยิ่งอยู่ยาก
B2 : อ่อนแอก็แพ้ไป !!!!!!

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม