บทที่ 32 - เมือง เทียนหยวน

เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า กลุ่มคุ้มกันก็ได้เดินทางมาถึง[ เมืองเทียนหยวน ] ในช่วงเวลายามค่ำคืน
         
ในฐานะที่ภายในเมืองมีประชากรถึงสองแสนคน กำแพงเมืองของพวกเขาจึงมีความสูงนับสิบเมตร หลังจากที่ถึงช่วงเวลายามค่ำคืนผู้คนจำนวนมากมายต่างเดินอยู่ตามท้องถนน
         
หลังจากที่ได้พบเจอกับพวกกองโจรสายลม หน่วยคุ้มกันก็เริ่มมีการป้องกันที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ตลอดทางที่ไปยัง[ เมืองเทียนหยวน ] พวกเขากลับไม่พบเจอภยันตรายใด ๆ เลยจนกระทั่งพวกเขาได้มาถึง[ เมืองเทียนหยวน ]
         
หลังจากที่พวกเขาได้เดินมาถึงยังหน้าประตูเมือง หวังเต้อยิง ก็ได้ป้องมือของเขาขึ้นระหว่างหน้าอกพร้อมกล่าว “ ในเวลาเช่นนี้พวกท่านต่างทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย พวกข้าสัญญาว่าจะจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างงามตามที่ตกลงกันไว้ และจะมีการชดเชยให้สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและตายไป! ”
         
          “ ท่านผู้อาวุโส ท่านสุภาพเกินไป นั้นเป็นหน้าที่ของพวกข้า! ”
         
ทันใดนั้นเหล่าจอมยุทธ์หลายคนก็ได้พูดออกมาในประโยคเดียวกัน เพราะการที่พวกเขาสามารถคุ้มกันสินค้าจนมาถึง[ เมืองเทียนหยวน ] ได้อย่างปลอดภัยนั้นก็เท่ากับว่าภารกิจของพวกเขาได้สำเร็จลุล่วงแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะถูกโจมตีอย่างไม่คาดฝันโดยกองโจรสายลม หากแต่หลังจากที่พวกเขาสามารถกับจัดพวกมันไปได้ ก็ไม่มีกองโจรหน้าไหนกล้าเข้าใกล้พวกเขาอีกเลยตลอดทางจนมาถึง[ เมืองเทียนหยวน ]
         
พวกเขาเริ่มต่อขบวนที่จะเข้าสู่ประตู[ เมืองเทียนหยวน ]
         
          “ ช้าก่อน , สิ่งที่พวกเจ้านำมานั่นมันคือสิ่งใดกัน ข้าต้องการที่จะตรวจสอบ! ” ในขณะนี้ผู้ตรวจตราอายุราวประมาณ 30 ปี กับทหารยามจำนวนไม่กี่คนกำลังเดินมุ่งตรงมายังพวกเขา
         
          “ ผู้ตรวจตรา พวกข้าคือหน่วยขนส่งสินค้าจากสมาคมการค้าชิงฟง! ” หวังเต้อยิง กล่าว
         
          “ ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร ข้าต้องการเพียงแค่ตรวจสอบสินค้าทั้งหมดของพวกเจ้าเท่านั้น ก่อนที่พวกเจ้าจะเข้าไปภายในเมืองข้าต้องการที่จะยืนยันว่าสินค้าเหล่านั้นมันใช่สินค้าผิดกฎหมายหรือไม่! ” ผู้ตรวจตรา กล่าวออกมาอย่างหยาบคาย
         
          “ ท่านอย่าได้พูดเช่นนั้นสิท่านผู้ตรวจตรา สินค้าเหล่านี้ถูกส่งมาจากสมาคมการค้าชิงฟงของพวกข้า แล้วมันจะเป็นสินค้าผิดกฎหมายไปได้เช่นไร! ” หวังเต้อยิง ยิ้มกล่าว
         
          “ ข้าไม่สน พวกเราค้น! ” ผู้ตรวจตรา ไม่คำนึงถึงมารยาทใด ๆ และได้ออกคำสั่งลงไป
         
          “ ท่านผู้ตรวจตรา ที่พูดกันไปก่อนหน้านี้ท่านไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ หรือว่าท่านต้องการที่จะใส่ร้ายพวกข้า สินค้าเหล่านี้เป็นส่วนผสมในการปรุงโอสถของท่านเจ้าเมืองวัง เช่นนี้แล้วท่านยังต้องการที่จะตรวจค้นมันอีกอยู่หรือไม่? ” เมื่อรู้ถึงเจตนาที่ชั่วร้ายของผู้ตรวจตรา หวังเต้อยิง ก็ได้หยุดแสดงปฏิกิริยานอบน้อมในทันที
         
          “ เหอะก็ช่างหัวเจ้าเมืองวังมันสิ ข้าเป็นคนของรัฐบาลเหล่าจือ มีหน้าที่ในการปกป้องเมือง ไม่ได้เป็นขี้ข้าเจ้าเมืองวัง ถ้ารู้แล้วก็จงหลีกทางออกไปซะไม่เช่นนั้นแล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน! ” ผู้ตรวจตราเริ่ม กล่าวข่มขู่
         
สีผิวของ หวังเต้อยิง เริ่มกลายเป็นหม่นหมองมากขึ้น เพราะเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าผู้ตรวจตราคนเข้าเมืองจะเป็นคนของรัฐบาลเหล่าจือ รัฐบาลเหล่าจือ และ เจ้าเมืองวัง นั้นเป็นสองระบบในการปกครอง บางเมืองก็อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเหล่าจือ และบางเมือก็อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองวัง
         
แต่โดยทั่วไปแล้ว เจ้าเมืองวัง และ รัฐบาลเหล่าจือ นั้นไม่ได้อยู่ในข้อตกลงที่ดีกันสักเท่าไหร่ พวกเขาทั้งสองต่างต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจ แม้ว่าโดยผิวเผิน เจ้าเมืองวัง จะเป็นผู้คุมอำนาจทุกอย่าง หากแต่รัฐบาลเหล่าจือ ก็ยังคงกระทำการอยู่เบื่องหลัง ฉะนั้นแล้วความเป็นจริงในการดูแลปกครองเมืองจึงขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพวกเขาในแต่ละคน ว่าใครจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่ากันผู้นั้นก็ได้ปกครอง
         
ในสถานการณ์เช่นนี้มันยังคงอยู่ห่างจากตัว[ เมืองเทียนหยวน ] อยู่ไกลนัก
         
          “ ชิ้ว! ” จู่ ๆ ผู้ตรวจตราก็ได้ยินเสียงแหลมเจาะลม มันคือลูกศรแหลมคมเจาะอากาศพุ่งตรงทะลุศีรษะของเขาออกไป
         
          “ ปัง! ” ศีรษะของผู้ตรวจตราระเบิดออก เยื้อสมองสีขาวและสีแดงกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นไปทั่ว
         
          “ เจ้าโง่ เป็นเพียงแค่ผู้ตรวจตราจิ๊บจ๊อย แต่กลับกล้าล่วงเกินท่านเจ้าเมืองวัง! ” ซุ่มเสียงที่เย็นชาได้ดังก้องกังวานไปทั่ว “ ผู้คนจากสมาคมการค้าข้าต้องขอโทดด้วยที่มาช้า! ”
         
ทุกคนมองอย่างประหลาดใจ ไกลออกไปได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ ผู้นำของกลุ่มเป็นชายหนุ่มอายุราว 20 ปีสวมชุดจีนและถือคันธนูพร้อมลูกศรอยู่ในมือ
         
          “ ไม่กล้าไม่กล้า ข้าน้อยไม่ได้คาดหวังเลยว่าองค์ชายที่สามจะมาต้อนรับพวกเราด้วยตนเองเช่นนี้! ” หวังเต้อยิง โค้งคำนับ พลางกล่าว
         
          “ นั่นคือองค์ชายที่สามบุตรของท่านเจ้าเมืองวัง ชวี๋เจิ้น ! ” จอมยุทธ์บางคนที่ได้รู้บางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาได้กล่าวออกมา
         
          “ เขาเป็นบุตรชายอัจฉริยะของท่านเจ้าเมืองวัง แม่ว่าจะมีอายุเพียง 25 ปีแต่กลับสามารถบรรลุ [ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 8 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ”
         
          “ [ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 8 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ความแข็งแกร่งขององค์ชาย สามารถเทียบเท่าได้กับเหล่าพี่น้องตระกูลเฉิน เลยเชียวหรือ! ”
         
          “ แต่การที่เขาได้ฆ่าผู้ตรวจตราของรัฐบาลเหล่าจือ มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าท่านเจ้าเมืองวัง และ รัฐบาลเหล่าจือ นั้นเข้ากันไม่ได้ราวน้ำกับไฟ ”
         
จอมยุทธ์หลายคนต่างแสดงความประหลาดใจ แม้ว่าจะเป็นสำนักยี่หยวนก็ตาม เพียงอายุเท่านี้แต่กลับสามารถบรรลุได้ถึงระดับนี้ ย่อมนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะ
         
เย่ชีเหวิน ยังคงจับจองมองไปยังองค์ชายที่สาม หลังจากที่เขาได้ฆ่าผู้ตรวจตราไปอย่างไร้ความปราณี ด้วยการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว
         
          “ พระบิดาของข้านั้นกำลังยุ่งอยู่ ฉะนั้นแล้วข้าจึงออกมารับด้วยตนเอง ภารกิจคุ้มกันส่วนผสมในการปรุงโอสถในครั้งนี้คงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับพวกเจ้าหน้าทุกคนเป็นแน่! ” ชวี๋เจิ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม
         
          “ ก่อนหน้าพวกเราได้พบเข้ากับกองโจรสายลม ถ้าไม่ได้สำหรับ เย่ชีเหวิน สานุศิษย์จากสำนักยี่หยวนช่วยเอาไว้ พวกเราทั้งหมดคงต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน! ” หวังเต้อยิง กล่าว “ นอกจากนี้ เย่ชีเหวิน ยังเป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันการประลองของศิษย์ฝ่ายในของสำนักยี่หยวน! ”
         
          “ เช่นนั้นเขาคือศิษย์ผู้โดดเด่นจากสำนักยี่หยวน ไม่น่าแปลกใจไม่น่าแปลกใจ! ” หลังจากที่ได้ฟังถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งหมดจาก หวังเต้อยิง ชวี๋เจิ้น ก็อดไม่ได้ที่จะต้องรู้สึกประหลาดใจกับผลงามที่ยอดเยี่ยมของ เย่ชีเหวิน
         
สำนักยี่หยวนนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมากในเขตนี้ และความสามารถของผู้ชนะเลิศในการแข่งขันการประลองในหมู่สำนักฝ่ายในนั้นเป็นที่มั่นเหมาะว่าเขาไม่ได้อ่อนแอ ความสามารถของเขาไม่ต้องสงสัยเลยเป็นอัจฉริยะอย่างแน่นอน
         
          “ เอาล่ะอย่ามัวเสีย เวลาพวกเราเข้าไปภายในเมืองกันเถอะ! ” ชวี๋เจิ้น ว่ากล่าว
         
เย่ชีเหวิน เดินเข้าไปภายในเมืองและส่งมอบส่วนผสมในการปรุงโอสถให้กับเจ้าเมืองวัง
         
ทุกคนต่างเข้าพักอยู่ภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หลังจากที่ได้ทานอาหารเย็น เย่ชีเหวิน ก็ได้รับค่าตอบแทนตามที่ตกลงกันเอาไว้ 3,000 [ ศิลาวิญญาณระดับต่ำ ] บวกกับค่าตอบแทนพิเศษ 1,000 [ ศิลาวิญญาณระดับต่ำ ] จากสมาคมการค้าชิงฟง เช่นเดียวกับอีก 2,000 [ ศิลาวิญญาณระดับต่ำ ] จากเจ้าเมืองวังค่าตอบแทนที่เขาได้เป็นคนสังหาร เฉินฟู๋ จากกองโจรสายลม มันจึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่เขาได้รับค่าตอบแทนเป็นศิลาวิญญาณกองเท่าภูเขา
         
ศิลาวิญญาณทั้งหมดที่เขาได้รับจากภารกิจนี้รวมทั้งสิ้นกว่า 6,000 ก้อน จำนวนเงินขนาดนี้นับได้ว่ามีขนาดใหญ่มากสำหรับศิษย์คนอื่น ๆ แต่สำหรับ เย่ชีเหวิน มันเป็นเพียงแค่การขัดดอกชั่วคราวเพียงเท่านั้น
         
ด้วย[ ศิลาวิญญาณระดับต่ำ ]จำนวน 6,000 ก้อน มีความเป็นไปได้ที่ [ ตัดเดือนเสี้ยว ] ของเขาจะสามารถฝึกฝนไปจนถึงระดับขั้น [ จุดสูงสุด ] ได้ แล้วเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะสามารถปลดปล่อยใบมีดออกไปได้ถึง 7 ชุดและพลังการโจมตีของเขานั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แม้ว่าจะเป็นผู้เชียวชาญ [ ระดับขั้นที่ 9 ] เขาก็มีความมั่นใจว่าสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
         
สำหรับคนอื่น ๆ ศิลาวิญญาณเหล่านี้นั้นเป็นเพียงแค่ช่วยพวกเขาในการบ่มเพาะพลังเพียงเท่านั้น แต่สำหรับ เย่ชีเหวิน ตราบใดที่เขามีศิลาวิญญาณในจำนวนที่มากพอ แม้แต่ระดับการบ่มเพาะพลังของเขานั้นก็จะเพิ่มขึ้นไปอย่างรวดเร็วและสามารถทลายกำแพงก้าวสู่ระดับขั้นต่อไปได้โดยที่ไม่มีปัญหาใด ๆ
         
          “ อย่าได้กล้าแม้แต่จะคิดที่จะเข้าไปยังภายในเมืองพระราชวัง! ”
         
เย่ชีเหวิน กำลังจะเริ่มต้นการบ่มเพาะพลังของเขา แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น มันได้ดังสนั่นไปทั่วเมืองและแพร่กระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ
         
เย่ชีเหวิน มีปฏิกิริยาตอบสนองฉับพลัน เพราะเสียงที่ดังสนั่นอยู่นั้นเป็นที่มั่นเหมาะที่จะเป็นผู้เชียวชาญ [ ระดับขั้นก่อเกิด ] ในตอนที่เขาได้เข้าไปภายในยังเมืองพระราชวังเขาได้ยินมาอย่างชัดเจนว่า ภายใน[ เมืองเทียนหยวน ] นั้นมีผู้เชียวชาญ [ ระดับขั้นก่อเกิด ] อยู่ด้วยกันถึง 2 คนเท่านั้น หนึ่งคือเจ้าเมืองวัง และอีกหนึ่งคือบุคคลจากรัฐบาลเหล่าจือ
         
#########################################################
         
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ
         
B3 : แลดูมันโชคดีจังเนอะ รับ 3,000 แต่พอจบงานได้ 6,000
B2 : ผลงานดีก็เงี้ย
B4 : และแล้วบทที่แสนจะธรรมดาบทนี้ก็ยังมีคนตาย ผู้ตรวจตรา ที่แสนจะหน้าสงสาร ทำตามหน้าที่แต่ก็ยังถูกฆ่าตาย
B3 : ใช่น่าสงสาร ว่าแต่บทนี้ไม่ค่อยมีไรให้เม้ามอย !
B2 : นั้นสิหวังว่าบทหน้าคงจะมีอะไรหน้าสนใจกว่านี้นะ
B3 : ขอแบบเลือดสาดยิ่งดี แต่ถ้าให้ดียิ่งขึ้นต้องให้ไอ้เหวินโดนกระทืบ
B2 : ได้แค่ฝันหว่ะไอ้น้อง !!
B4 : มันจะต้องมีวันที่ชดใช้กรรมอย่างแน่นอน !
B2 : ละเมอว่ะ B4 คำว่าพระเอกมันอยู่เหนือกฎแห่งกรรมนะจำไว้

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม