ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาในที่สุดเขาก็ได้บรรลุขั้นที่ 2 ของเคล็ดวิชา[ ย่างก้าวทูตสวรรค์ ] แต่แม้ว่าเขาจะสามารถบรรลุขั้นที่ 2 ของเคล็ดวิชา[ ย่างก้าวทูตสวรรค์ ] เขาก็ยังคงอยู่เพียงแค่[ ดินแดนที่ 1 แรกเริ่ม ] ซึ่งในตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะเรียนรู้ในระดับดินแดนต่อไป เพราะว่ารายละเอียดและสาระสำคัญของมันนั้นมีจำนวนที่มากเกินไปกว่าที่เขาจะสามารถรับได้ เขาในตอนนี้จำเป็นต้องฝึกฝนขั้นที่ 2 [ ดินแดนที่ 1 แรกเริ่ม ]ให้ชำนาญเสียก่อน ถึงจะสามารถพัฒนามันไปยังระดับขั้นต่อไปได้ นอกจากนี้เพียงแค่เขาสามารถบรรลุขั้นที่ 2 ได้มันก็ทำให้ความเร็วของเขานั้นเพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างมากแล้ว ถึงขนาดที่มีเงาหรือว่าภาพติดตาตามหลัง หากเขาสามารถฝึกฝนไปจนถึง[ ดินแดนที่ 2 ชำนาญ ] อาจเป็นไปได้ว่าภาพเงาหรือภาพติดตาของเขานั้นอาจอยู่ได้นานขึ้น
หลังจากที่ เย่ชีเหวิน ได้ฝึกฝนตนเป็นเวลา 1 เดือน เขามีความมั่นใจว่าสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ได้อย่างง่ายดายไม่ว่ามันผู้นั้นจะอยู่ในระดับใดก็ตาม
พลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเขาได้ห่างไกลเกินกว่าผู้เชียวชาญใน[ ระดับขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ทุกคนจะสามารถเทียบได้ และเมื่อใดก็ตามที่มีดยาวของเขาได้สับลง ทุกท่วงท่าจะมีเงาติดตามเป็นลักษณะในแบบทับซ้อนกัน ซึ่งในแต่ล่ะท่วงท่านั้นมันสามารถสับอากาศออกเป็นชิ้น ๆ และก่อให้เกิดเสียงระเบิดที่ดังสนั่นได้
หลังจากที่ความแข็งแกร่งของ เย่ชีเหวิน ได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ในที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะกลับไปยังสำนักยี่หยวนเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้ารับการแข่งขันศิษย์หลักที่จะมาถึง การแข่งขันศิษย์หลักในครั้งนี้มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเขาเพราะมันมีความเป็นไปได้ที่ว่าเขาจะถูกจับตามองโดยเจ้าสำนัก และอาจถูกรับเลือกให้กลายเป็นศิษย์โดยตรงของเขา
เย่ชีเหวิน ได้เดินออกมาจากโรงเตี๊ยม แม้ว่าผู้คนภายในเมืองจะยังมีความโกลาหลอยู่บ้าง หากแต่มันก็ต้องขอบคุณสำหรับการประมูล เม็ดโอสถก่อเกิด ใน 1 เดือนที่ผ่านมา เพราะหลังจากที่ท่านเจ้าเมืองพระราชวังได้กลั่นสร้าง เม็ดโอสถก่อเกิด ขึ้นมาเขาก็ได้มีผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] เพิ่มขึ้นมาถึง 2 คน ซึ่งร่วมตัวเขาเองด้วยแล้วนั้นเท่ากับเมืองพระราชวังมีผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] ถึง 3 คนด้วยกัน ซึ่งนี่นับได้ว่าเป็นวิกฤตอันใหญ่หลวงไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับขุมพลังอำนาจของกองกำลังรัฐเหล่าจือ หากแต่มันยังคงมีความโชคดีอยู่บ้างหลังจากที่เขาได้ซื้อ เม็ดโอสถก่อเกิด ไปมันก็ได้ทำให้กองกำลังของเขานั้นมีผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] เพิ่มขึ้นมาด้วยเช่นกัน จึงทำให้ความสมดุลของขุมพลังอำนาจทั้งสองฝ่ายยังคงเป็นเช่นเดิม
แต่ เย่ชีเหวิน นั้นทราบดีว่าถ้าหากไม่มีการแทรกแซงจากกองกำลังภายนอกของเมืองเทียนหยวนแล้วล่ะก็ ผู้ที่จะเป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมดภายในเมืองคงไม่อาจรอดพ้นน้ำมือของท่านเจ้าเมืองวังไปได้อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขา เพราะตัวเขาเองและท่านเจ้าเมืองเทียนหยวน นั้นหาได้มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันไม่ ซึ่งในทางตรงกันข้ามเขาได้ช่วยคุ้มกันส่วนผสมในการปรุงแต่งเม็ดโอสถ นั้นถือได้ว่ามันให้เขามีความสัมพันธ์อันดีงามกับผู้คนภายในเมืองพระราชวังเสียด้วยซ้ำ
เย่ชีเหวิน ได้ออกมาจากเมืองเทียนหยวน อย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปยังทิศทางของสำนักยี่หยวน
เนื่องจากว่าความแข็งแกร่งของเขาได้เพิ่มขึ้นมาหลายเท่า ความเร็วของเขาก็ต้องเพิ่มขึ้นมานับหลายเท่าเช่นกัน เขาได้เคลื่อนไหวไปยังรวดเร็วในทิศทางของสำนักยี่หยวนราวเหมือนกับนกอินทรีที่กำลังบินโฉบ
เย่ชีเหวิน ทะยานข้ามป่าไม้ใหญ่ จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของการต่อสู้ที่รุนแรง
เย่ชีเหวิน รีบมุ่งตรงไปยังเส้นทางนั้นผ่านป่าไม้ใหญ่ ในที่สุดเขาก็มาถึงสถานที่ต่อสู้และได้เห็นพลังปราณที่รุ่นแรงมันได้แพร่ขยายไปเป็นวงกว้าง พลังปราณที่ผันผวนก่อให้เกิดการระเบิดที่รุนแรงไปทั่วป่า
เขามองไปทางนั้นและเห็นเหล่าจอมยุทธ์มากกว่า 10 คนกำลังรายล้อม อิสตรีนางหนึ่งที่สวมใส่ชุดคลุมสีดำ
เมื่อเห็นว่าอิสตรีผู้นั้นมีความสวยงามและผิวพรรณที่ขาวผ่องเป็นยองใย มันถึงกับทำให้ เย่ชีเหวิน รู้สึกตกอยู่ในภวังค์ นางเป็นอิสตรีที่สวยงามด้วยคุณลักษณะของนางแล้วนั้นสมควรที่จะมีอายุราว 17 ปี คิ้วโค้งคู่สีดำช่างเขากันกับใบหน้าที่ขาวผ่อง ทั่วทั้งร่างที่มีผิวขาวราวกับหิมะ นางช่างเป็นอิสตรีที่สวยงามราวกับถูกสร้างขึ้นมาจากหยกอัญมณี ดวงตาคู่สีฟ้าสดใส่ราวกับน้ำทะเลในมหาสมุทร เพียงแค่มองเข้าไปในดวงตาของนางมันก็แทบจะทำให้เขารู้สึกเหมือนราวกับตนได้ดำดิ่งอยู่ในห่วงทะเลลึก นางช่างสวยงามราวกับนางฟ้าสวรรค์ที่ได้ถูกส่งลงมายังโลกมนุษย์ ไม่มีของล้ำค่าหรือสิ่งสวยงามอันใดที่จะสามารถนำมาเปรียบเทียบกับนางได้เลย ! เย่ชีเหวิน ไม่เคยเห็นอิสตรีคนไหนที่มีความสวยงามเช่นนางมาก่อน แม้กระทั่งอีกโลกหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิดของเขาก็ตาม
แต่ทว่าอีก 10 จอมยุทธ์ที่ได้รายล้อมนางนั้นเป็นชายฉกรรจ์ที่มีร่างกายบึกบึน พวกมันต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] แต่ดูจาการแต่งกายของพวกมันแล้วนั้นมันไม่สมควรที่จะเป็นจอมยุทธ์จากเมืองเทียนหยวน เพราะเครื่องแต่งกายของพวกมันนั้นดูมีสถานะและเป็นที่โดดเด่นมากเกินไป
ชายหนุ่มผู้ที่เป็นลูกพี่ของพวกมันได้กำลังต่อสู้กับอิสตรีผู้สวมใส่ชุดคลุมสีดำอยู่ และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทั้งสองได้เข้าปะทะกันมันจะการให้เกิดพลังปราณที่รุนแรงแพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ซึ่งมันคิดไม่ถึงเลยว่าพลังปราณที่ได้ถูกปล่อยออกมานั้นมันเป็นพลังปราณของผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ]
เย่ชีเหวิน ได้ปกปิดตัวตนของเขาในทันทีและได้หลบซ่อนอยู่ทางด้านหลังของต้นไม้
ชายหนุ่มผู้ที่เป็นลูกพี่ของพวกชายฉกรรจ์ได้ใช้พลังโจมตีทั้งหมดพุ่งเข้าใส่จนทำให้ชั้นบรรยากาศโดยรอบถึงกับระเบิดออกไปเป็นทอด ๆ
แต่ทว่าเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่ได้ถูกใช้โดยอิสตรีชุดดำมันทำให้ เย่ชีเหวิน มีความรู้สึกที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก
“ ลู่เทียนเจ้ามันเป็นผู้ชายที่ไร้ยางอาย ไม่เพียงแต่วางโอสถพิษในอาหารข้า แต่ยังคิดที่จะทำร้ายข้าอีก เจ้าไม่กลัวการลงทัณฑ์จากสำนักยี่หยวนหรืออย่างไร ? ” อิสตรีชุดคลุมสีดำกล่าวอย่างชัดเจน
สำนักยี่หยวน !
เย่ชีเหวิน รู้สึกตกใจอย่างฉับพลัน ทันทีที่เขาได้รับรู้ว่าอิสตรีชุกคลุมสีดำผู้นี้นั้นคือศิษย์ของสำนักยี่หยวน หากแต่ทำไมเขาถึงไม่เคยพบนางในสำนักมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นภายในสำนักยี่หยวนยังไม่เคยมีอิสตรีนางใดสามารถทะลวงผ่านไปยัง[ ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] ได้ฉะนั้นแล้วมันจึงมีความเป็นไปได้ทางเดียวคือนางอาจเป็นศิษย์ของ[ สำนักหลักยี่หยวน ]
“ ฮ่าฮ่าฮ่า! ” ชายหนุ่มผู้ที่เป็นลูกพี่ของพวกชายฉกรรจ์มีนามว่า ลู่เทียน หัวเราะพลางกล่าว “ เจ้าตกอยู่ภายใต้อำนาจพิษของข้าแล้วเจ้าคิดหรือว่าจะสามารถหนีรอดจากน้ำมือของข้าไปได้ หากไม่มีเจ้าท่านพี่ของข้าก็จะได้รับความสนใจจากท่านเจ้าสำนัก แล้วหลังจากนั้นตระกูลลูของข้าก็จะเจริญยิ่งขึ้นและมั่งคลั่งไปด้วยอำนาจ ”
“ อย่าคิดว่ามันจะเป็นอย่างที่เจ้าคิด! ” อิสตรีชุดคลุมสีดำขบฟันของตนพลางคว้ากระบี่ยาวขึ้นมาและฟาดฟันออกไป ประกายแสงเปล่งออกมาจากกระบี่และพุ่งออกไปยังขอบฟ้า ก่อให้เกิดคลื่นระเบิดขนาดใหญ่ทำลายพื้นที่ป่าบริเวณโดยรอบไปเสียทั้งหมดจนเหลือเพียงแต่เศษซาก
หลายจอมยุทธ์ที่อยู่ภายในรัศมีการโจมตีนั้นต่างถูกสังหารไปจนหมดทั้งสิ้นในทันที แม้ว่าผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] จะโดนวางยาพิศก็ตาม หากแต่ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นก็ยังคงมากกว่าผู้เชียวชาญ[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] อยู่ดี
“ ฮวาเหมิงฮัน ข้าของแนะนำเจ้าว่าให้เลิกดิ้นลนเสียจะดีกว่า! ” ลู่เทียน หัวเราะลั่นเสียงดังก้องกังวานไปทั่วพื้นป่าพลางคว้ามีดยาวออกมาและฟาดฟันออกไป พลังปราณที่ถูกส่งออกมาจากมีดยาวนั้นได้กลายเป็น[ พลังปราณใบมีด ]และแพร่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง
“ ตึม ! ”
“ ตึม ! ”
“ ตึม ! ”
การต่อสู้กันของสองผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] ก่อให้เกิดบรรยากาศที่หน้ากลัว
“ ลูกพี่ ก่อนที่ท่านจะสังหารนางผู้นี้ขอให้พวกข้าเหล่าพี่น้องได้เล่นกับนางเสียก่อนจะได้หรือไม่ หลังจากที่นางมีรูปลักษณ์ที่สวยงามราวกับนางฟ้าเช่นนี้ การที่พวกเราจะไม่ปู้ยี้ปู้ยำนางนั้นจะนับได้ว่าเกิดมาเป็นชายได้เยี่ยงไร! ” เหล่าบรรดาจอมยุทธ์ผู้ที่เป็นลูกน้องต่างกล่าวด้วยรูปลักษณ์ที่หื่นกระหาย
“ ฮ่าฮ่าฮ่า ได้ข้าจะจัดให้ตามที่พวกเจ้าต้องการ แต่หลังจากที่ตระกูลของได้เป็นใหญ่เมื่อใด ไม่ว่าพวกเจ้าจะต้องการอิสตรีนางใดพวกเจ้าก็สามารถหาได้ตามที่พวกเจ้าต้องการ! ” ลู่เทียน กล่าวพลางหัวเราะเสียงดัง
“ เจ้าตายเสีย! ” ฮวาเหมิงฮัน ขบฟันด้วยความโกรธแค้น ถ้าเพียงนางมิได้ถูกวางโอสถพิษแล้วล่ะก็ ด้วยพลังอำนาจของนาง บุคคลที่อยู่เบื้องหน้าของนางในตอนนี้คงไม่แตกต่างอะไรไปจากมดปลวก
ฮวาเหมิงฮัน คว้ากระบี่ยาวและฟาดฟันออกไป ประกายแสงส่องสว่างวิบวับ พุ่งตรงไปยังจอมยุทธ์ที่ทำท่าทางหื่นกระหายก่อหน้านี้ราวกับสายฟ้าฟาดโดยที่ยังมิทันได้ตั้งตัว จอมยุทธ์ผู้หื่นกระหายผู้นั้นก็ได้ถูกตัดของออกเป็นสองส่วน
ลู่เทียน ไม่ได้สนใจต่อจอมยุทธ์ที่นางพุ่งสังหารไป มิหนำซ้ำยังได้หัวเราะเสียงดังพลางกล่าว “ เหอะเชิญดิ้นลนตามที่เจ้าต้องการได้เลย ยิ่งเจ้าใช้พลังปราณไปมากเท่าไหร่ พิษมันก็ยิ่งแพร่กระจายเข้าไปภายในร่างกายของเจ้ารวดเร็วเท่านั้น ”
ผิวอันขาวผ่องดุจหิมะของ ฮวาเหมิงฮัน เริ่มจะเรืองแสงเป็นสีฟ้าจาง ๆ สภาพของนางในตอนนี้นั้นอาจกล่าวได้เลยว่าไม่ใช่สภาพที่ดีนัก
นางขบริมฝีปากของนางและตะโกนกล่าว “ แม้ว่าข้าจะต้องตายข้าก็ไม่ยอมให้มันเป็นไปอย่างที่พวกเจ้าคิด ”
เสียงของนางได้กระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ กระบี่ยาวของนางได้แพร่ขยายพลังอำนาจที่หน้ากลัวและพุ่งตรงไปยัง ลู่เทียน นางได้รวบรวมพลังอำนาจทั้งหมดที่นางมีใส่ไปในการโจมตีครั้งสุดท้ายนี้
ลู่เทียน เองก็มิได้มีทางเลือก เขาได้คว้ามีดยาวของเขาออกไปและปล่อยพลังอำนาจทั้งหมดที่เขามีออกไปปะทะเข้ากับการโจมตีในครั้งนี้
“ ตึม! ”
“ ตึม! ”
“ ตึม! ”
การปะทะกันอย่างรุนแรงก่อให้เกิดประกายไฟระเบิดเต็มไปทั่วชั้นบรรยากาศโดยรอบ
“ เพล้ง! ” เสียงแหลมคมเจาะหูจากการปะทะกันของโลหะ ประกายแสงเปล่งประกายออกมาจากกระบี่ของ ฮวาเหมิงฮัน และเสียบตรงเข้าไปยังหน้าอกของ ลู่เทียน
“ อ้า! ” ลู่เทียน กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดพลางทรุดตัวลงบนพื้นดิน ใบหน้าของเขากลายเป็นซีดขาวในทันที สายโลหิตได้ไหลบ่าออกมาจากบาดแผลของเขาอย่างต่อเนื่อง
แต่ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นเอง ฮวาเหมิงฮัน ก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่พอกัน ผิวที่ขาวผ่องดุจราวหิมะของนางในตอนนี้ได้กลายเป็นสีฟ้าออกเข้มแล้ว ซึ่งมันอาจกล่าวได้ว่าเป็นสภาพที่ดูหน้ากลัวอย่างแท้จริง
#########################################################
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ
B2 : เอาล่ะนะครับผมพอมาถึงตรงนี้ผมจะขออธิบายให้เข้าใจกันอีกครั้งหนึ่งนะครับ ทุกคนโปรดคิดภาพตาม คือเคล็ดวิชาการต่อสู้ในนิยายเรื่องนี้เนี่ย มันเป็นแบบในลักษณะของตำรา ซึ่งหน้าปกของตำราเนี่ยมันก็จะมีชื่อของเคล็ดวิชายกตัวอย่างเช่น ตำรา[ ตัดจันทร์หนาว ] หรือเคล็ดวิชาการต่อสู้ตัดเดือนหนาว พอเราเปิดตำราขึ้นมาเนี่ยภายในนั้นก็จะมีกระบวนท่าต่าง ๆ อยู่เหมือนหนังสือบ้านเราที่มีหลายบทนั้นแหละ อารมณ์ประมาณนั้น ซึ่งในแต่ล่ะกระบวนท่าเนี่ยก็จะแบ่งออกเป็น 4 ขั้น คือ แรกเริ่ม ชำนาญ เชี่ยวชาญ สูงสุด ซึ่งในแต่ล่ะกระบวนท่าเนี่ยจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนไปจนถึงในระดับขั้นสูงสุดเสียก่อนถึงจะสามารถไปฝึกฝนในการบวนท่าต่อไปได้ เอาล่ะตรงนี้คือเข้าใจเรื่องระดับขั้นแล้วก็ตำรากันแล้วนะ
....เรื่องต่อไปคือ ตำราที่ไม่สมบูรณ์ ผมก็ขอเปรียบเปรยว่าตำราเล่มนั้นมันถูกฉีกหน้ากระดาษออกไปนั้นแหละจึงกลายเป็นตำราที่ไม่สมบูรณ์ หากผมยกตัวอย่างเช่นนี้ท่านผู้อ่านทุกคนคงจะเข้าใจได้ง่ายที่สุด
B1,B3 : โครตสาระ
B3 : อยากบอกนะว่าบทนี้เป็นช่วงสาระมีอยู่จริงไม่ใช่นั่งนิ่งแล้วเมาส์มอย
B1 : มีความเป็นไปได้ ข้าช่างเลื่อมใสในความรอบรู้ของท่านยิ่งนัก B2
B3 : หลังจากที่งงงันกันมานานว่ามันจะมีระดับห่าอะไรเยอะแยะ สุดท้ายก็กระจ่าง
B1 : หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจ
B3 : แล้วสรุปบทนี้ไม่มีเมาส์มอยใช่ไหม….
B1 : ……….
B2 : ……….
B3 : บทนี้นางเองมันปรากฏตัวออกมาแล้วนะ
B1 : ห่ะนางเอง เมื่อกี้พูดว่านางเอก ??
B3 : ใช่ก็ด้านบนนั้นไงสู้กันจนจะตายห่าอยู่แล้วไอ้เหวิน[ ม. ]มันยังไม่มาช่วยเลย
B2 : แหม่ B3 ถามจริง !! [ ม. ]โง่หรือเกิดไม่ทันกันแน่ว่ะเนี่ย พระเอกน่ะเขาต้องมาในฉากเท่ ๆ ออกมาเร็วก็ตายห่าน่ะสิ ดูด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] เกิดอยู่ดีดีทำตัวเป็นสุภาพบุรุษต้องการจะไปปกป้องหญิงแม้งก็ตายห่าตั้งแต่เริ่มแล้วน่ะสิ
B1 : ใช่ ๆ B2 พูดมีเหตุผลพระเอกมันต้องปรากฏตัวอย่างเท่ ๆ โดยเฉพาะตอนตัวร้ายอ่อนแอ ใช่ไหม B2
B2 : ใช่เลย B1
B3 : งั้นเอาตามที่พวก[ ม. ] สบายใจเลยแล้วกันนะ [ ก. ]ขอจบบท[ ก. ]เพียงเท่านี้แหละ
#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน
B1,B3 : โครตสาระ
B3 : อยากบอกนะว่าบทนี้เป็นช่วงสาระมีอยู่จริงไม่ใช่นั่งนิ่งแล้วเมาส์มอย
B1 : มีความเป็นไปได้ ข้าช่างเลื่อมใสในความรอบรู้ของท่านยิ่งนัก B2
B3 : หลังจากที่งงงันกันมานานว่ามันจะมีระดับห่าอะไรเยอะแยะ สุดท้ายก็กระจ่าง
B1 : หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจ
B3 : แล้วสรุปบทนี้ไม่มีเมาส์มอยใช่ไหม….
B1 : ……….
B2 : ……….
B3 : บทนี้นางเองมันปรากฏตัวออกมาแล้วนะ
B1 : ห่ะนางเอง เมื่อกี้พูดว่านางเอก ??
B3 : ใช่ก็ด้านบนนั้นไงสู้กันจนจะตายห่าอยู่แล้วไอ้เหวิน[ ม. ]มันยังไม่มาช่วยเลย
B2 : แหม่ B3 ถามจริง !! [ ม. ]โง่หรือเกิดไม่ทันกันแน่ว่ะเนี่ย พระเอกน่ะเขาต้องมาในฉากเท่ ๆ ออกมาเร็วก็ตายห่าน่ะสิ ดูด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] เกิดอยู่ดีดีทำตัวเป็นสุภาพบุรุษต้องการจะไปปกป้องหญิงแม้งก็ตายห่าตั้งแต่เริ่มแล้วน่ะสิ
B1 : ใช่ ๆ B2 พูดมีเหตุผลพระเอกมันต้องปรากฏตัวอย่างเท่ ๆ โดยเฉพาะตอนตัวร้ายอ่อนแอ ใช่ไหม B2
B2 : ใช่เลย B1
B3 : งั้นเอาตามที่พวก[ ม. ] สบายใจเลยแล้วกันนะ [ ก. ]ขอจบบท[ ก. ]เพียงเท่านี้แหละ
#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น