บทที่ 42 - การรักษา

          “ ฆ่านาง! ” ลู่เทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอ กระบี่ยาวของ ฮวาเหมิงฮัน ได้ตัดเส้นโลหิตขั้วหัวใจจนขาดสะบั่น แม้แต่แรงตะโกนก็ยังไม่มี หากไม่รีบรักษาโดยเร็วเขาจะต้องตายเป็นแน่

แต่ทว่าทันใดนั้นเองจู่ ๆ ลู่เทียน ก็ได้ยินเสียงระเบิดเจาะหู [ พลังปราณใบมีด ]ขนาดใหญ่ 9 ใบมีดได้ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า ประกายแสงสว่างจ้าบดบังสายตาของพวกเขา

          “ ปัง! ”

          “ ปัง! ”

          “ ปัง! ”

………………………………………………

แทบจะทันทีผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ได้ถูกสังหารเกือบทั้งหมด

ลู่เทียน ไม่ได้คาดคิดว่านั้นจะเป็นการโจมตีของ ฮวาเหมิงฮัน การโจมตีและพลังอำนาจที่แข็งแกร่งเช่นนี้มันมั่นเหมาะที่จะเป็นของผู้อื่นอย่างแน่นอน

          “ ใคร…ใครมันกล้าลอบโจมตีลูกน้องของข้า! ” ลู่เทียน กล่าวด้วยความโกระแค้น

          “ ข้าเอง! ” เย่ชีเหวิน ก้าวออกมาจากหลังตนไม้พร้อมกับมีดยาวในฝ่ามือ

          “ น้องชาย เจ้าเป็นใคร? เจ้าไม่ทราบถึงความยิ่งใหญ่ของตระกูลข้าหรืออย่างไร! เจ้าในตอนนี้กำลังหาที่ตายอยู่รู้ตัวหรือไม่? ” ลู่เทียน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว

          “ เจ้าต่างหากที่จะตายไม่ใช่ข้า! เจ้าได้บังอาจกล้าทำร้ายศิษย์จากสำนักยี่หยวนของข้านั่นเท่ากับเจ้านั่นแหละที่สมควรตาย! ” เย่ชีเหวิน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เมื่อ ฮวาเหมิงฮัน รู้ว่าบุคคลที่เข้ามาช่วยนางนั้นเป็นศิษย์จากสำนักยี่หยวนนางก็รู้สึกโล่งและถอนหายใจ

          “ สามห้าว เจ้านั่นแหละที่จะตาย เป็นเพียงแค่จอมยุทธ์ชั้นต่ำที่ยังไม่ถึงแม้แต่ขั้นลมปราณก่อเกิด แล้วยังสะเออะหาญกล้ามาท้าทายกับตระกูลลู่ของข้า แม้แต่ชีวิตเจ้ามันก็ยังมิเพียงพอ ข้าจะสังหารหมู่ตระกูลของเจ้าและให้เหล่าบรรดาลูกน้องของข้ากระทำชำเราแม่เจ้า ” ลู่เทียนยังคงมิได้หยุดกล่าว “ แต่ทว่าถ้าเจ้าเลือกที่จะสังหาร ฮวาเหมิงฮัน ให้แก่ข้าจะให้โอกาสปล่อยเจ้าไป ”

ในทันทีประกายตาของ เย่ชีเหวิน เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง เพราะ ลู่เทียน นั้นกล้าจริงที่จะข่มขู่ถึงและคุมคามถึงตระกูลของเขา ในโลกใบนี้สำหรับ เย่ชีเหวิน แล้วตระกูลเย่ นั้นถือได้ว่าสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขา เพราะนับตั้งแต่ที่เขาได้มายังโลกใบนี้มีเพียงแค่ตระกูลเย่ เท่านั้นที่ให้การดูแลเขาเป็นอย่างดีทุกคนในตระกูลต่างทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นและทำให้เขามีเหตุผลที่จะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป ไม่ว่าเขาจะอ่อนแอมากแค่ไหนตระกูลเย่ ก็ยังคงดูแลเขาเป็นอย่างดีเสมอมา ฉะนั้นแล้วเขาจึงสาบานกับตนเองว่าท่าวันใดที่เขาแข็งแกร่งขึ้นเขาจะต้องปกป้องตระกูลของตนและจะไม่ให้ใครหน้าไหนหาญกล้ามาคุมคามหรือข่มขู่ตระกูลของตนเป็นอันขาด

          “ บังอาจคุมคามตระกูลข้าเจ้าจะต้องตายเหมือนสุนัข!... ” เย่ชีเหวิน คำราม พลางคว้ามีดยาวปล่อยประกายแสงขึ้นไปเต็มทั่วท้องฟ้าและสับลงในทันที

          “ นี่เจ้ากล้า… ” ยังมิทันที่ ลู่เทียน จะกล่าวจบศีรษะของเขาก็ได้ถูกตัดออกจากบ่าในทันที

เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเขาจะต้องมาตายในที่แบบนี้ โดยน้ำมือของเด็กที่ยังมิได้แม้แต่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ]

หลังจากที่ได้เป็นสักขีพยานในการตายลูกพี่ของตน เหล่าจอมยุทธ์ที่เหลือก็ได้กระจายตัวออกไปและหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุน และในขณะนั้นเองก็ได้มีเสียงตะโกนขึ้น

          “ อย่าปล่อยให้พวกหลบหนีไปได้! ” ฮวาเหมิงฮัน กล่าวเตือน เย่ชีเหวิน

แต่ทว่ามันไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องเตือน เย่ชีเหวิน เพราะแต่เดิมเขาก็มิได้คิดที่จะปล่อยบุคคลเหล่านี้ให้เล็ดรอดหนีออกไปได้อยู่แล้ว เขาไม่ต้องการที่จะสร้างบัญหาให้กับตนในอนาคตฉะนั้นแล้วเขาจำเป็นที่จะต้องฆ่าผู้ที่เป็นศัตรูของเขาทั้งหมดมิให้เหนือเป็นเด็ดขาด

แม้ว่าบุคคลคนเหล่านี้ทั้งหมดจะเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] แต่มันก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่พวกเขาจะต้องมาพบเจอกับ เย่ชีเหวิน ไม่มีผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อตั้ง ]คนใดจะสามารถเล็ดรอดน้ำมือของเขาไปได้ มีเพียงแค่ผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] เพียงเท่านั้นถึงจะสามารถต่อกรกับเขาได้

และหลังจากที่ เย่ชีเหวิน ได้สังหารเหล่าผู้เชียวชาญไปจนหมดสิ้น ฮวาเหมิงฮัน ก็โล่งอกพลางถอนหายใจและเป็นลมไป

เย่ชีเหวิน รีบเก็บแหวนพื้นที่ภายในร่างกายของ ลู่เทียน ถึงแม้ว่าเขาจะค้นพบว่านั่นคือพื้นที่หากแต่เขายังมิได้ตรวจสอบภายใน เพราะในตอนนี้ความปลอดภัยของ ฮวาเหมิงฮัน นั้นสำคัญที่สุด

เขาวิ่งพร้อมกับอุ้มนางไปด้วย เมื่อมองไปยังสภาพร่างกายของนางแล้วนั้นมันอยู่ในสภาพที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก พิษได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของนาง ซึ่ง เย่ชีเหวิน ไม่อาจนิ่งดูดายได้หลังจากที่นางนั้นก็เป็นศิษย์ภายในสำนักเดียวกันกับเขายิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นเพียงแค่อิสตรีผู้หนึ่ง เย่ชีเหวิน ได้กอดนางเอาไว้แน่นภายในอ้อนแขนของเขาและวิ่งฝ่าป่าออกไป ในที่สุดเขาก็ได้มาเจอเข้ากับถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งเขาได้ตัดสินใจที่จะอยู่พักที่นั่น แม้ว่าการจะนำนางกลับไปยังสำนักยี่หยวนจะได้รับการรักษาที่ดีดว่านี้ หากแต่ในเวลานี้มันไม่มีเวลาเหลือแล้วอาการของนางมันอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากเกินไป นางจะต้องถูกรักษาในทันที

ภายในถ้ำมีแสงสลัว ๆ อยู่รำไร เย่ชีเหวิน ได้ประคองนางให้นั่งอยู่บนพื้นดิน เขาได้ใช้ฝ่ามือแตะไปที่แผ่นหลังของนางและถ่ายพลังปราณของตนเข้าไปยังภายในร่างกายของนาง

เย่ชีเหวิน ได้ใช้พลังปราณของตนตรวจสอบโครงสร้างภายในร่างกายของนาง ซึ่งเขาได้ค้นพบว่าพิษชนิดนี้นั้นมันได้ทำการยับยั้งพลังปราณของนางเอาไว้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเหตุใดนางถึงได้หมดสติ แต่ทว่าพิษนี้มันได้สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับ เย่ชีเหวิน เป็นอย่างมาก เพราะว่าด้วยประสิทธิภาพของมันสามารถยับยั้งพลังปราณจากภายในของผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] ได้

เย่ชีเหวิน จึงได้พยายามใช้พลังปราณของตนขับพิษออกจากภายในร่างกายของนางโดยตรง แต่ทว่าในทันทีที่พลังปราณของเขาได้สัมผัสกับพิษมันก็ได้ถูกละลายในทันทีโดยอำนาจของพิษนี้

เย่ชีเหวิน รู้สึกตกใจอย่างฉับพลัน เพราะเขาไม่เคยพบเห็นพิษที่มีประสิทธิภาพเช่นนี้มาก่อน มันอาจเป็นไปได้ว่าที่ ฮวาเหมิงฮัน ยังอยู่รอดมาได้นานถึงเพียงนี้นั้นคงเป็นเพราะว่านางเป็นผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] เพราะถ้าหากนางเป็นเพียงแค่ผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] แล้วล่ะก็ นางคงไม่อยู่มาได้นานถึงเพียงนี้

แต่ทว่าในยามนี้ เย่ชีเหวิน มิได้มีเวลามากพอที่จะมาคิดถึงเรื่องนั้น เขายังคงถ่ายพลังปราณของเขาเข้าสู่ภายในร่างกายของนางอย่างต่อเนื่องพร้อมกับใช้ เคล็ดวิชา[ อำนาจหยกพิสุทธิ์ ] ด้วยพลังอำนาจของมันได้ช่วยเขาเป็นอย่างมากในการยับยั้งพิษภายในร่างกายของนาง

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงเป็นเพียงแค่ผู้เชียวชาญใน[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] พลังปราณของเขาได้ลดลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นอัตราการถ่ายพลังปราณออกไป มันยังมีมากกว่าจำนวนในการสร้างพลังปราณขึ้นมา

หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดพลังปราณของเขาก็ได้หมดลง เพียงในตอนนี้เขาจำเป็นที่จะต้องพึ่งสมุนไพรภายในแหวนจัดเก็บพื้นที่ที่เขาสามารถยึดมันมาได้จาก ยวิ๋นเผิง และ จ้าวชี่เหยียน เนื่องด้วยที่พวกเขาต่างเป็นผู้สืบทอดขุมพลังของสองมหาอำนาจฉะนั้นแล้วสมุนไพรที่พวกเขามีจึงมั่นเหมาะที่จะอยู่ในระดับคุณภาพสูง

เพียงแต่ เย่ชีเหวิน ไม่ต้องการที่จะใช้มันในจำนวนที่มากเกินไป เขาจึงหยิบมาเพียงแค่กำมือเดียวเท่านั้นและหยัดมันใส่ปากของเขา เพียงพริบตาพลังปราณของเขาก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากที่พลังปราณของเขาได้รับการฟื้นฟุขึ้นมาแล้วเขาก็ได้ทำการถ่ายเข้าไปภายในร่างกายของ ฮวาเหมิงฮัน อีกครั้งอย่างต่อเนื่อง

วันเวลาผ่านไปเพียงพริบตาในที่สุดมันก็ได้ล่วงเลยไปกว่า 3 วันแล้วที่ เย่ชีเหวิน ยังคงถ่ายพลังปราณของเขาเข้าไปยังภายในร่างกายของ ฮวาเหมิงฮัน เขาได้ใช้เวลาถึง 3 วันในการยับยั้งพิษภายในร่างกายของ ฮวาเหมิงฮัน โดยที่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

โดยส่วนตัวเขาได้กินสมุนไพรไปเป็นจำนวนมากภายในแหวนพื้นที่จัดเก็บของเขา เขาในตอนนี้รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยหลังจากที่พลังปราณของเขามันช่วยยับยั้งพิษภายในร่างกายของนางได้เพียงแค่ชั่วคราวเพียงเท่านั้น เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าผลกระทบจากพิษนี้มันจะกำเริบขึ้นมาเมือใด

แต่ทว่าในช่วงเวลา 3 วันที่ผ่านมานี้ เย่ชีเหวิน ได้รับผลประโยชน์เป็นจำนวนมาก หลังจากที่เขาได้ใช้เวลาไปทั้งหมดกับการกินสมุนไพรเพื่อฟื้นฟูพลังปราณของเขา เขาได้ทำแบบนี้อยู่ซ้ำ ๆ จนนับครั้งไม่ถ้วน มันจึงก่อให้เกิดเส้นพลังลมปราณของเขาเกิดการขยายตัวขึ้นจนมีขนาดใหญ่มากกว่าเดิมถึง 3 เท่า ซึ่งมันต้องขอคุณที่ร่างกายอันแข็งแกร่งของเขาเพราะหากไม่มีมัน มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วหากเป็นผู้เชียวชาญทั่วไปได้มีการเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเส้นพลังลมปราณของพวกเขาคงจะระเบิดออกจากภายในร่างกายของพวกเขาไปแล้วเป็นแน่

เมื่อเส้นพลังลมปราณขยายใหญ่ขึ้นมั่นย่อมที่มั่นเหมาะว่าความแข็งแกร่งของเขาก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้หลังจากที่ เย่ชีเหวิน ได้ทำการยับยั้งพิษภายในร่างกายของ ฮวาเหมิงฮัน โดยใช้ พลังปราณก่อตั้ง เข้ายับยั้งมันก็ได้ทำให้เขามีความเข้าใจ พลังปราณก่อเกิด ที่อยู่ภายในตัวของนางด้วยเช่นกัน ต้องขอบคุณการรักษานี้ที่ทำให้เขามีความเข้าใจต่อ พลังปราณก่อเกิด มากขึ้น และหลังจากที่เขาได้รักษานางมาเป็นระยะเวลาราวนานมันก็ได้ทำให้เขามีความเข้าใจต่อ พลังปราณก่อเกิด จนอยู่ในระดับที่ไร้ขอบเขต นอกเหนือไปจากนี้เขายังได้เริ่มเปลี่ยนแปลง พลังปราณก่อตั้ง ภายในร่างกายของเขาให้กลายเป็น พลังปราณก่อเกิด ซึ่งถึงแม้ว่าภายในร่างกายของตนจะมี พลังปราณก่อตั้ง อยู่เป็นจำนวนมากแต่ด้วยการที่เขาเข้าใจถึงสาระสำคัญของ พลังปราณก่อเกิด จึงเริ่มทำให้มันเกิดการแปรรูปอย่างช้า ๆ และทำให้พลังปราณของเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็ยังเป็นเพียงแค่การรักษาชั่วคราว ซึ่งแน่นอนว่าพิษภายในร่างกายของนางนั้นมันจะกำเริบขึ้นมาเมื่อใดก็ยังมิอาจทราบได้ ฉะนั้นแล้วเพื่อช่วยนางเขาจำเป็นที่จะต้องพานางไปหาพ่อของเขาเพื่อให้พ่อของเขาทำการชำระล้างพิษออกจากตัวนางให้

แต่ทว่าในเวลานั้นเอง ฮวาเหมิงฮัน ก็ได้สติและลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ

          “ เจ้าตื่นแล้ว! ” เย่ชีเหวิน กล่าวด้วยเสียงที่น่ารื่นรมย์ เพราะการที่นางตื่นขึ้นมานั้นมันจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับเขาในการที่จะพานางออกไป

          “ ข้าอยู่ที่ไหน! ” ฮวาเหมิงฮัน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอพร้อมทรุดตัวลงไปที่อ้อมแขนของ เย่ชีเหวิน

          “ พวกเราอยู่ในถ้ำ ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อรักษาพิษ ” ในขณะที่นางได้ตกอยู่ภายในอ้อนแขนของเขานั้นกลิ่นที่หอมหวนได้ปล่อยออกมาจากตัวของนาง ไม่ว่าจะเป็นชายใดก็ไม่อาจที่จะห้ามปรามต่อสิ่งที่เกิดขึ้นยังเบื้องหน้าของเขาในตอนนี้ได้ แต่ทว่าสำหรับ เย่ชีเหวิน ในตอนนี้เขาไม่ได้มีอารมณ์ที่จะมาคิดถึงเรื่องที่โง่เขลาเช่นนั้น

#########################################################
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

B1 : นี่แครี่ของจริงต้องรู้จังหวะเปิด ปล่อยให้เขาตีกันไปก่อน รอเลือดเหลือน้อย ๆ มานา ไม่มีแล้วเราค่อยออกไปลาสชาวบ้านเขาและก็รูดทรัพย์มันมา 55555 นี่ยังมิได้ดูเลยนะว่าข้างในมันมีอะไรบ้าง

B2 : เห็นบอกว่าเป็นตระกูลใหญ่งานนี้มีหวานปากอีกล่ะ 555555

B3 : เห้ออออ [ ก. ]ล่ะเพลีย แค่ไอ้ฆ่ารูดทรัพย์กับความแข็งแกร่งที่ไร้เหตุผลของแม้ง[ ก. ]ก็เพลียพอและ และนี่ยังมาเกี่ยวกับไอ้พื้นที่ลึกลับสุดโกงนี่อีกคือแบบมีการเรียนรู้ข้ามขั้นด้วย ในตอนนี้แม้อยู่แค่[ ระดับระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 8 ลมปราณก่อตั้ง ] แต่แม้งกลับเข้าใจพลังอำนาจของ พลังปราณก่อเกิด ได้แถมเข้าใจยังไม่พอ ยังมีการจะเปลี่ยนรูปแบบพลังปราณภายในร่างอีกต่างหาก โธ่คือ[ ม. ]ไม่ต้องรีบมากนักก็ได้ แค่นี้[ ม. ]ก็เก่งชิปหายจนตัวร้ายแม้งจะไม่มีที่ยืนอยู่และ ขนาดผู้เชียวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] ในบทนี้แม้งยังถูกมันฆ่า อ่ะ คือแบบ….แบบ…. [ ก. ]ขอไปอยู่ข้างอื่นที่ไม่ใช่ตัวร้ายได้ไหม

B1 : ไปอยู่กับ B4 น่ะป่ะ ไปแสวงธรรมกับมันซะนะจะได้มีความรู้ที่แตกฉานเหมือนกับชาวบ้านชาวช่องเขาซะบ้างดันสะเออะไปอยู่ฝั่งตัวร้ายมันก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้เป็นธรรมดา เนอะB2

B2 : ใช่เลย B1

B3 : เห้อโลกนี้แม้งโครตอยู่ยากพระเอกนับวันนี่ก็ยิ่งเก่งขึ้น ๆ ไม่บันยะบันยังห่าอะไรเลย

B2 : พระเอกเขาก็ต้องเก่งสิจะให้กากไง

B1 : เออช่ายพระเอกกากก็ไม่สนุกสิใช่ไหม B2

B2 : ใช่เลย B1

B3 : เอากันเข้าไปเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะพวก[ ม. ]

########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

1 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม