บทที่ 44 - ลอยข้ามผ่านท้องฟ้าเพียง 1 ใบมีด

ตงฟางไป๋ ?

เย่ชีเหวิน ได้ถามศิษย์ที่อยู่โดยรอบอย่างรวดเร็ว “ นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้น? เหตุใดถึงได้วุ่นวายเช่นนี้? ”

          “ อ่าศิษย์พี่เย่ ช่างโชคดีจริง ๆ ที่ท่านกลับมา! ” ศิษย์ที่มีอายุมากกว่า เย่ชีเหวิน นับหลายปีกล่าวด้วยลักษณะเคารพนอบน้อม ซึ่งมันมิได้นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกอันใด เพราะบนโลกใบนี้มีเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะได้รับการเคารพบูชาโดยมิได้คำนึงถึงอายุ
          “ มันเป็นคนตระกูลจาง ในวันนี้พวกมันได้ส่งเหล่าผู้ผู้อาวุโสมาหารือกับสำนักยี่หยวนของพวกเราเกี่ยวกับการแข็งขันศิษย์หลักที่กำลังจะจัดขึ้น ซึ่งในกลุ่มผู้อาวุโสเหล่านั้นได้มีศิษย์ผู้หนึ่งติดมาด้วยนามของมันคือ จางยวิ๋นเฟย ซึ่งข้าได้ยินมาว่ามันเองก็เป็นถึงผู้ชนะเลิศในการประลองยุทธ์ของตระกูลจางในปีนี้ด้วยเช่นกันเหมือนกับท่าน มันได้เข้ามายังที่นี่และท้าทาย 5 ศิษย์ชั้นนำฝ่ายในของสำนักเรา 3 ใน 5 ได้พ่ายแพ้ให้แก่มันไปแล้วและในตอนนี้มันยังได้ท้าประลองกับศิษย์พี่ ตงฟางไป๋ และมันยังได้เอาชนะเขาอย่างง่ายดายด้วยวิธีกลโกงของมัน! ”

เย่ชีเหวิน ขมวดคิ้วแน่นเพราะในตอนนี้มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าตระกูลจางตั้งใจที่จะยั่วยุสำนักยี่หยวน แต่ถึงอย่างนั้นสำนักยี่หยวนและตระกูลจางก็ยังคงแตกต่างกันตรงที่สำนักยี่หยวนเป็นคนใจกว้าง ตระกูลจางมีระบบการแข่งขันการประลองยุทธ์เหมือนกับสำนักยี่หยวนคือจะจัดขึ้นในทุก ๆ 3 ปี เพื่อให้ผู้ที่ชนะเลิศในการประลองยุทธ์ของทั้ง 2 ฝ่ายมาประมือกัน ซึ่งไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะชื่อเสียงของพวกเขาก็จะเพิ่มพูนสูงขึ้นและแพร่ขยายออกไปทั่วอาณาเขตบริเวณนี้ และผู้ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็จะสูญเสียชื่อเสียงราวกับตกลงไปยังก้นหุบเหวลึกที่ไม่มีวันได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน

การกระทำของตระกูลจางในตอนนี้ทั้งที่การแข่งขันศิษย์หลักของสำนักยี่หยวนยังมิได้มาถึง มันก็เท่ากับว่าตระกูลจางได้ตบใบหน้าของศิษย์ทุกคนที่อยู่ภายในสำนักยี่หยวน!

ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ยังเป็นเพียงแค่การประลองกันระหว่างศิษย์ที่เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นศิษย์หลัก ซึ่งมันแทบไม่มีวี่แววเลยแม้แต่น้อยสำหรับศิษย์ที่เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นศิษย์หลักเหล่านี้จะสามารถเอาชนะ จางยวิ๋นเฟย ได้แล้วยิ่งถ้าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะ จางยวิ๋นเฟย ได้พวกเขาก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นความอ่อนแอของสำนักยี่หยวน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ตระกูลจางต้องการและพวกมันก็จะใช้โอกาสนี้ในการเย้ยหยันสำนักยี่หยวนว่าเป็นสำนักที่คอยอบรมสั่งสอนศิษย์ที่ไร้ค่าที่เป็นเพียงได้แค่ไอ้สุนัขขี้แพ้

แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นตัวพิสูจน์หลักฐานชั้นดีคือ จางยวิ๋นเฟย ที่สามารถเอาชนะเหล่าอัจฉริยะของสำนักยี่หยวน หากไม่สามารถหยุดเขาเอาไว้ได้ในตอนนี้ ชื่อเสียงที่สร้างขึ้นมาของสำนักยี่หยวนคงได้กลายเป็นเพียงแค่เรื่องตลกเป็นแน่!

ความคิดนับไม่ถ้วนได้วนเวียนอยู่ภายในหัวของ เย่ชีเหวิน ในที่สุดเขาก็ได้ฝ่าฝูงชนและก้าวเดินเข้าไปยังใจกลางสนามประลอง ในทันทีสายตาของเขาได้เห็น ตงฟางไป๋ ที่กำลังถือกระบี่สองคมเล่มยาวในฝ่ามือข้างหนึ่ง ร่างกายของเขาถูกชโลมไปด้วยโลหิตและสีผิวที่ซีดขาวราวกับศพ

ซึ่งในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็มีชายหนุ่มยืนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจในตน ฝ่ามือของเขาถือกระบี่คมยาวและมีพลังปราณอยู่ที่[ ระดับกลางขั้นที่ 8 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ]

ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลจาง ถึงได้มีความมั่นใจในตัวเขามากมายถึงขนาดนั้น ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ถือได้ว่ายังหนุ่มยังแน่นแต่กับสามารถบรรลุได้ถึง[ ระดับกลางขั้นที่ 8 ลมดินแดนปราณก่อตั้ง ] นี่ก็อาจกล่าวได้แล้วว่าเขานั้นนับถือว่าเป็น 1 ในอัจฉริยะ

          “ ช่างต่ำช้ายิ่งนัก เจ้าแอบใช้เข็มพิษทำร้ายศิษย์พี่ ตงฟางไป๋ แล้วยังมีหน้ามาทำหน้าพึงพอใจเช่นนั้นอีก! ”

          “ ช่างไร้ยางอาย นี่ตระกูลจางคงเต็มไปด้วยบุคคลที่มีนิสัยเหมือนเจ้าชายหนุ่มผู้นี้ไปเสียทั้งหมดเลยหรือไม่? ”

          “ ฮ่าฮ่าฮ่า เมื่อชีวิตต้องเดิมพันกับความเป็นความตาย เจ้าจะบอกคู่ต่อสู้ของเจ้าให้รู้ตัวถึงอาวุธที่เจ้าซ่อนอยู่หรือไม่? ” จางยวิ๋นเฟย กล่าวด้วยใบหน้าดูหมิ่น “ ทั้งที่อยู่เบื้องหน้าคู่ต่อสู้แต่เจ้ากลับลดการป้องกันของตนลงอย่างง่ายดาย ข้าล่ะแปลกใจจริง ๆ ว่าเจ้ามีชีวิตรอดมาจนถึงบัดนี้ได้เยี่ยงไร! ”

          “ ต่ำช้า! ”

          “ ไร้ยางอาย! ”

คำพูดและการกระทำของ จางยวิ๋นเฟย ได้สร้างความไม่พอใจต่อศิษย์ของสำนักยี่หยวนเป็นอย่างมาก

          “ นี่สำนักยี่หยวนของพวกเจ้ายังมีคนที่แข็งแกร่งกว่านี้อยู่อีกหรือไม่! ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่ามีม้ามืดปรากฏตัวและกลายเป็นผู้ชนะเลิศในการประลองยุทธ์ของสำนักฝ่ายในยี่หยวนมิใช่รึ แล้วเหตุใดจนถึงบัดนี้มันถึงยังได้มิโผล่หัวออกมาอีก? หรือเป็นไปได้ว่ามันจะเกรงกลัวต่อความแข็งแกร่งของข้าจนไม่กล้าที่จะโผล่หน้าออกมากัน ฮ่าฮ่าฮ่า ” จางยวิ๋นเฟย กล่าวพลางหัวเราะ

          “ หวืบ! ” [ พลังปราณใบมีด ]กวาดผ่านท้องฟ้าแม้แต่ชั้นบรรยากาศก็ยังถูกตัดออกเป็นแนวยาว[ พลังปราณใบมีด ] ที่ดูเรียบง่าย แต่กลับแฝงไปด้วยพลังอำนาจที่น่ากวาดกลัวพุ่งตรงเข้าใส่ จางยวิ๋นเฟย

จางยวิ๋นเฟย รู้สึกตกใจอย่างฉับพลันที่มี[ พลังปราณใบมีด ]พุ่งตรงมายังเขา เขาได้ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี ในการหลบ[ พลังปราณใบมีด ]ที่กำลังพุ่งเข้ามา และถึงแม้ว่าเขาจะสามารถหลบการโจมตีจาก[ พลังปราณใบมีดลม ]นี้ได้ เขาก็ต้องเผชิญกับอาการหอบหายใจอย่างหนัก เขาไม่รีรอที่จะจัดจังหวะลมหายใจของเขาแล้วรีบตะโกนกล่าวออกไปในทันที “ ใคร…ใครมันบังอาจกล้ารอบโจมตีข้า! ”

          “ ข้าเอง! ” เย่ชีเหวิน กล่าวพรางเดินไปทาง จางยวิ๋นเฟย เหล่าฝูงชนต่างหลีกทางให้แก่เขา

          “ นั่นมันศิษย์พี่ เย่ชีเหวิน! ”

          “ ใช่! นั่นมันศิษย์พี่เย่ชีเหวิน! เขาช่างมาในเวลาที่เหมาะเจาะจริง ๆ ข้าล่ะอยากเห็นเหลือเกินว่าเขาจะบดขยี้ความหยิ่งผยองของ จางยวิ๋นเฟย ลงเช่นไร! ”

          “ เหตุใดเจ้าถึงได้บังอาจกล้ารอบโจมตีข้า? ” จางยวิ๋นเฟย ว่ากล่าวเสียงดัง เพราะด้วยพลังอำนาจจาก[ พลังปราณใบมีด ]ของ เย่ชีเหวิน ก่อนหน้านี้หากเขาไม่สามารถหลบมันได้พ้น เกรงว่าเขาคงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนไปแล้วเป็นแน่

          “เจ้าจะบอกคู่ต่อสู้ของเจ้าให้รู้ตัวถึงอาวุธที่เจ้าซ่อนอยู่หรือไม่! ” เย่ชีเหวิน กล่าวด้วยรอยิ้มที่ดูหมิ่น

ทันใดนั้นเหล่าศิษย์ของสำนักยี่หยวนทั้งหมดต่างพลันหัวเราะขึ้นมาอย่างฉับพลัน เสียงหัวเราะดังสะท้อนกึกก้องไปทั่วทั้งสำนัก มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า เย่ชีเหวิน ได้ใช้คำพูดของ จางยวิ๋นเฟย ก่อนหน้านี้กลับมาตบไปที่ใบหน้าของเขา

คำพูดของเขาก่อนหน้านี้ได้หวนคืนใส่ตนต่อหน้าฝูงชน มันจึงทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น

ใบหน้าของเขาแดงก่ำไปด้วยความโกรธแค้นพลางตะโกนออกไป “ เจ้าเป็นใคร! ”

          “ เย่ชีเหวิน! ” เย่ชีเหวิน กล่าว

          “ เจ้าคือ เย่ชีเหวิน? ” ผิวของ จางยวิ๋นเฟย ยิ่งกลายเป็นหม่นหมองมากขึ้นขณะที่มองไปยัง เย่ชีเหวิน เขาพยายามที่จะเปิดปากของตนเพื่อกล่าวคำสบถใส่ หากแต่เขากลับไม่สามารถกล่าวคำเหล่านั้นออกไปได้เพราะเขาเกรงว่าคำเหล่านั้นมันจะกลับเข้ามาหาเขาอีกครา ฉะนั้นแล้วเขาจึงได้หุบปากของตนและไม่อาจกล่าวโทษ เย่ชีเหวิน ได้

ก่อนหน้านี้มันก็เป็นตัวเขาเองที่ได้ใช้อาวุธลับรอบโจมตีใส่ ตงฟางไป๋ โดยที่ยังมิทันตั้งตัว ซึ่งในตอนนี้ เย่ชีเหวิน ก็ได้กระทำเช่นนั้นกับเขาและได้กล่าวคำพูดที่เป็นของเขาสวนกลับมา มันจึงยิ่งทำให้เขามีความรู้สึกคับแค้นใจมากยิ่งขึ้นจนมันฝังลึกไปจนถึงกระดูกดำของเขา

          “ ดีข้าเห็นว่าเจ้าเป็นถึงผู้ชนะเลิศในการประลองปีนี้ ซ้ำยังมีความแข็งแกร่งที่ล้ำลึกอย่างมิคาดคิด พอจะเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าจะมาประมือกับข้าเพื่อแลกเปลี่ยนวรยุทธกันเสียเล็กน้อย! ” จางยวิ๋นเฟย ว่ากล่าว

          “ ก็ดี ตราบใดที่เจ้าสามารถป้องกัน 1 กระบวนท่าจากข้าได้ ข้าจะขอยอมแพ้และเดินออกไป! ” ในทันทีที่กล่าวจบ เย่ชีเหวิน ได้ใช้ เคล็ดวิชา[ ย่างก้าวทูตสวรรค์ ] พุ่งตรงไปยังตำแหน่งของ จางยวิ๋นเฟย ในพริบตาพลางคว้ามีดยาวปกคลุมไปด้วย พลังปราณ ฟาดฟันออกไปด้วยเจตนาฆ่า!

เคล็ดวิชาใบมีดของ เย่ชีเหวิน นั้นอาจกล่าวได้ว่า เขาปล่อยพลังอำนาจของมันออกมาได้มากกว่าผู้เชี่ยวชาญทั่ว ๆ ไป หลังจากที่เขาได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาจนไปถึงในระดับแก่นแท้ของมันแล้ว เขาได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาใบมีดมาอย่างยาวนานและสร้างรากฐานของมันให้ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เมื่อรากฐานมีความแข็งแกร่งเขาก็ยิ่งมีความเข้าใจต่อแก่นแท้ของเคล็ดวิชามากขึ้นและเมื่อมีความเข้าใจมากขึ้นมันก็ยิ่งทำให้เขาสามารถปล่อยพลังอำนาจของมันออกมาได้มากกว่าผู้เชี่ยวชาญทั่ว ๆ ไป

เคล็ดวิชาการต่อสู้ก็เหมือนกับแปลนตำหนักที่สูงตระหง่าน แม้ว่าจะทำตามแปลนหมดทุกอย่าง แต่หากรากฐานไม่แข็งแกร่งพอมันก็มิอาจคล้ำจุนสมดุลเอาไว้ได้และจะพังทลายลงมาในสักวัน

ฉะนั้นแล้วไม่ว่า เย่ชีเหวิน จะอยู่ที่ใดหรือทำอะไร เย่ชีเหวิน ก็จะไม่ลืมการฝึกฝนสร้างรากฐานของเคล็ดวิชา

นี่คือเคล็ดวิชาใบมีดที่ เย่ชีเหวิน ได้มาจากการฝึกฝนสร้างรากฐานอย่างหนัก

มีดลมที่ถูกปกคลุมไปด้วยพลังปราณ ได้ตัดผ่านอากาศและปรากฏยังเบื้องหน้าของ จางยวิ๋นเฟย

ในทันที จางยวิ๋นเฟย ได้แพร่พลังปราณของเขาไปที่กระบี่ยาวและฟาดฟันออกไปอย่างรวดเร็ว

          “ ตึม! ” มีดยาวและกระบี่ได้ปะทะกันอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงระเบิดที่ดังสนั่นกึกก้องไปทั่ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพลังปราณจากมีดยาว ของ เย่ชีเหวิน มันยังคงมิได้หมดลงเพียงแค่นั้นมันได้ดันร่างของ จางยวิ๋นเฟย ให้ถอยกลับไปที่ละก้าว ๆ พร้อมทั้งยังสร้างรอยร้าวลึกขึ้นบนกระบี่ของ จางยวิ๋นเฟย

          “ ปัง! ” ด้วยพลังอำนาจอันมหาศาลจากมีดยาวของ เย่ชีเหวิน ในที่สุดก็ได้ทะลวงกระบี่ของ จางยวิ๋นเฟย และปะทะเข้ากับร่างกายของเขาโดยตรง โลหิตชโลมไปทั่วร่าง ซ้ำยังปลิวกระเด็นลอยขึ้นไปกลางอากาศก่อนที่จะล่วงหล่นลงมาราวกับว่าวที่ขาดสะบันคว่ำหน้ากระแทกพื้นเข้าอย่างแรง

เงียบ!

ทุกอย่างต่างเงียบสงัด!

เหล่าศิษย์ทั้งหมดที่ได้จับจ้องสายตาของพวกเขาไปยังการต่อสู้ครั้งนี้ ยังแทบไม่อยากที่จะเชื่อสายตาของตนว่าบุคคลที่หยิ่งผยองอย่าง จางยวิ๋นเฟย จะไม่สามารถป้องกันกระบวนท่าของ เย่ชีเหวิน ได้เลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว

#########################################################
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

B1 : เกือบมันแล้วบทนี้ท่ามันไม่อธิบายเยอะ

B2 : ใช่เลยเล่นเอาไม่มีคำบรรยายเลยครับท่านผู้ชม

B3 : ทำใมตระกูลจางนี่มันก๊ากกาก แลดูตัวประกอบนอกเมืองยังเก่งกว่า

B1,B2 : นั่นน่ะสิ ดูจากทรงแล้วคงก่ะจะเลี้ยงพี่เหวินเราจนโตจนได้ดิบได้ดีอย่างแน่นอนเลย

B3 : เพ้อ ๆ ไอ้เหวินแม้งก็คงจะเข้าตากรรมการและถูกส่งตัวไปยังสำนักหลักก็คงไม่พ้นเพราะไอ้ตระกูลจางเนี่ยล่ะมั้ง เห็นแม้งเลี้ยงมาตั้งแต่ต้นเรื่อง

B2 : 5555 ถ้าพี่เหวินเรามันเป็นอย่างที่ไอ้ B3 พูดมันก็คงดีไม่น้อยเลยเนอะ B1

B1 : ใช่ ๆ สงสัยคงต้องไปขอบคุณไอ้พวกตระกูลจางสักหน่อยแล้วล่ะ B2 555555

B2 : 55555555555

B3 : เห้อโครตกุ้ม สงสัยคงต้องไปหวังเอาตอนเข้าสำนักหลักแล้วล่ะมั้งเนี่ย

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม