บทที่ 47 - ผลกระทบที่ตามมา

จางยวิ๋นเทียน ศิษย์อันเรื่องชื่อจากตระกูลจาง ได้ถูกตบจนลอยละลิ่วด้วยน้ำมือของ เย่ชีเหวิน ฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ฝูงชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเหล่าศิษย์น้องใหม่จากตระกูลจางที่ได้มาดูการประลองในครั้งนี้ พวกมันแทบไม่อยากที่จะเชื่อในสายตาของตน จางยวิ๋นเทียน สำหรับพวกมันแล้วนั้นเปรียบเสมือนเป็นดั่งเทพเจ้าสงครามของพวกมันที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับผู้ใด แต่ในครั้งนี้เขากลับไม่สามารถปัดป้องการโจมตีจาก เย่ชีเหวิน ได้เลย

          “ พี่ใหญ่! ” จางยวิ๋นเฟย ร้องตะโกนออกมาเป็นคนแรกและรีบวิ่งไปหาพี่ชายของมันที่ได้นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น

เย่ชีเหวิน มองไปที่ จางยวิ๋นเฟย ด้วยสายตาที่เยือกเย็นพลางกล่าว “ มันยังไม่ตายและจงพามันออกไปจากที่นี่เสียอย่างรวดเร็ว ที่นี่คือสำนักยี่หยวนไม่ใช่สถานที่วิ่งเล่นของพวกตระกูลจางอย่างเจ้า ที่จะโหวกเหวกโวยวายและทำตัวอวดดีที่นี่ได้ หากครั้งหน้าพวกเจ้ายังกล้าคิดที่จะท้าทายข้าอีก เรื่องมันคงมิจบลงโดยง่ายเช่นนี้แน่! ”

          “ ไปไสหัวไปให้พ้น! ”

          “ ยัง ยัง ยังนิ่งอยู่ อยากตายหรือยังไงห่ะ? ไอ้พวกสุนัขตระกูลจาง! ”

          “ ใช่แล้วรีบใสหัวออกไปเสีย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือน! ”

เหล่าศิษย์จากสำนักยี่หยวนต่างโห่ร้อง สำนักยี่หยวนและตระกูลจางนั้นมิได้เป็นศัตรูกันมานานนับ 2 ปี แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่ศิษย์ของทั้งสองฝ่ายต่างเห็นหน้ากันพวกเขาก็มักจักรู้สึกเหม็นขี้หน้าอีกฝ่ายหนึ่งและพร้อมที่จะเข้าปะทะได้ทุกเมื่อ หากแต่ด้วยความแข็งแกร่งที่ใกล้เคียงผลลัพธ์ที่ออกมานั้นจึงไม่อาจที่คาดเดาได้ พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างแข่งขันกันอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานและมันก็จะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป แต่อย่างไรก็ตามการที่ จางยวิ๋นเฟย และพี่ชายของมัน จางยวิ๋นเทียน ได้มาอาละวาดภายในสำนักยี่หยวน แต่กลับต้องพ่ายแพ้ไปอย่างน่าสังเวชด้วยน้ำมือของ เย่ชีเหวิน ศิษย์ผู้ชนะเลิศในการแข่งขันการประยุทธ์ของสำนักฝ่ายในยี่หยวน และด้วยความพ่ายแพ้ที่น่าสังเวชนี้เองมันจึงได้สร้างความอับอายขายหน้าให้กับตระกูลจางเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ทุกคนยังอาจเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความเมตตาจาก เย่ชีเหวิน หากมิเช่นนั้น จางยวิ๋นเทียน คงได้ถูกสับออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้วเป็นแน่ในตอนนี้

ข่าวเกี่ยวกับการประลองของ เย่ชีเหวิน และ จางยวิ๋นเทียน ได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งสำนักอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง หากแต่ผู้คนจำนวนมากยังมิอาจทำใจเชื่อได้ว่า เย่ชีเหวิน ผู้ชนะเลิศในการแข่งขันการประลองยุทธ์ของสำนักฝ่ายในและพึ่งก้าวขึ้นมาเป็นศิษย์หลักจะสามารถเอาชนะ จางยวิ๋นเทียน ได้ แม้ว่าเขาจะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่น่าทึ่งก็ตามแต่ยังไงเขาก็ยังเป็นเพียงแค่ศิษย์น้องใหม่ที่พึ่งก้าวขึ้นมาเป็น 1 ในบรรดาศิษย์หลัก

การที่เขาสามารถมอบความพ่ายแพ้ให้กับ จางยวิ๋นเฟย ได้นั้นย่อมมิใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอันใด หลังจากที่ จางยวิ๋นเฟย เองก็เป็นถึงผู้ชนะเลิศในการประลองยุทธ์ของตระกูลจางซึ่งมีสถานะเช่นเดียวกันกับเขา หากแต่ข่าวที่ เย่ชีเหวิน สามารถเอาชนะ จางยวิ๋นเทียน ที่เป็นถึง 1 ใน 5 ศิษย์หลักแถวหน้าของตระกูลจางได้นั้น มันอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป เพราะแม้แต่เหล่าศิษย์หลักตระกูลจางด้วยกันเขายังถูกกล่าวว่าเป็นอัจฉริยะที่อยู่เหนืออัจฉริยะ แล้วอัจฉริยะเช่นนั้นจะมาพ่ายแพ้ให้กับ เย่ชีเหวิน ที่เป็นเพียงศิษย์น้องใหม่ที่พึ่งก้าวขึ้นมาเป็นศิษย์หลักในปีนี้ได้เช่นไร ความสงสัยของผู้ที่มิได้เห็นการประลองด้วยตาตัวเองต่างพุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

แต่ทว่าการประลองในครั้งนี้นั้นกลับมีพยานรู้เห็นอยู่เป็นจำนวนมากและทั้งยังแพร่กระจายข่าวออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากที่พวกเขาได้รับแหล่งข่าวที่มีความน่าเชื่อถือในที่สุดพวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่า เย่ชีเหวิน นั้นได้มอบความพ่ายแพ้ให้กับ จางยวิ๋นเทียน ไปอย่างไร้ข้อกังขา

ชื่อเสียงของ เย่ชีเหวิน ได้แพร่ขยายออกไปเป็นวงกว้างภายในสำนักยี่หยวน แม้ว่าก่อนหน้าเขาจะได้เป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันการประลองยุทธ์สำนักฝ่ายในยี่หยวน และได้รับเลื่อนตำแหน่งให้กลายเป็นศิษย์หลักก็ตาม หากแต่มันก็มิได้ถือเป็นเรื่องสำคัญอันใดภายในสำนักฝ่ายหลัก เพราะสำหรับศิษย์หลักทุกคนพวกเขาเองก็เคยยืนในจุดนั้นมาก่อนเช่นกัน ก่อนที่พวกเขาจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นศิษย์หลัก ฉะนั้นแล้วแค่ผู้ชนะเลิศการประลองยุทธ์จึงไม่ได้เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อันใดสำหรับพวกเขา

หากแต่หลังจากที่ เย่ชีเหวิน ได้มอบความพ่ายแพ้ให้กับ จางยวิ๋นเทียน อย่างไร้ข้อกังขา มันได้ทำให้ชื่อเสียงของเขาเป็นที่โด่งดังไปทั่วทั้งสำนักจนฝูงชนต่างเทียบเขาให้อยู่ในระดับเดียวกันกับเหล่าศิษย์หลักผู้เป็นอัจฉริยะที่สุดภายในสำนัก

ในส่วนลึกภายในของสำนักยี่หยวน ณ ห้องโถงตำหนักใหญ่ได้มีเจ้าสำนักนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงตระหง่านด้านบนและมี เย่คงหมิง นั่งอยู่เบื้องล่างด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างหม่นหมอง ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ด้านบนเก้าอี้สูงนั้นมีรูปร่างเหมือนชายวัยกลางคนสามัญทั่วไป

หากแต่ทุกคนนั้นต่างรู้ดีว่าชายที่มีรูปร่างเหมือนชายวัยกลางคนธรรมดาสามัญผู้นี้นั้นคือเจ้าสำนักของสำนักยี่หยวนนามว่า หลินเจิ่นเทียน ซึ่งเขาจะเป็นผู้อยู่ในเงามืดของสำนักยี่หยวนและเป็นผู้ที่ถือครองอำนาจสูงสุดภายในสำนัก

          “ เย่คงหมิง ข้าคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่า เย่ชีเหวิน จะสามารถกลายเป็นที่โดดเด่นได้ถึงเพียงนี้ ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เห็นเขาในระหว่าง 2 ปีที่ผ่านมาเขาเองยังคงเป็นเพียงได้แค่ศิษย์ของสำนักฝ่ายใน แต่ใครกันจะไปคิดเล่าว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ภายในระยะเวลาอันสั่น! ” หลินเจิ่นเทียน กล่าวพลางถอนหายใจ “ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะจัดอันดับอยู่ 1 ใน 10 ของบรรดาศิษย์หลักแถวหน้า! ”

          “ ก็มิเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจตรงไหน หลังจากที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่มีสติปัญญา! ” เย่คงหมิง กล่าวด้วยใบหน้าที่ไม่แยแสราวเหมือนกับว่าเขาได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว

เมื่อ เย่คงหมิง กล่าวด้วยท่าทีที่มั่นใจ หลินเจิ่นเทียน ก็มิได้สาวความต่อพร้อมเปลี่ยนเรื่อง “ ในที่สุดข้าก็พึ่งก้าวผ่านไปยังระดับขั้นต่อไปได้เมื่อไม่นานมานี้ และข้าต้องการที่จะมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักหลักยี่หยวน แต่ในด้านของหุบเขาชิงฟงนี้ข้าต้องการที่จะให้เจ้าสืบต่อเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป! ”

          “ ท่านก็น่าจะรู้อยู่แล้วมิใช่หรือว่าข้ามิได้สนใจในตำแหน่งนี้! ” เย่คงหมิง ว่ากล่าว

          “ ข้าก็รู้ว่าเจ้ามิได้สนใจมัน หากแต่นี่เป็นสถานที่ที่พวกเราเติบโตขึ้นมาด้วยกันฉะนั้นแล้วข้าจึงรู้สึกไม่สบายใจหากมันตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น! ” หลินเจิ่นเทียน ว่ากล่าว

          “ แล้วถ้าหากข้าปฏิเสธตำแหน่งนี้ ? ” เย่คงหมิง กล่าวด้วยใบหน้าที่ไม่แยแสต่อสิ่งใด

          “ เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธมัน! ” หลินเจิ่นเทียน กล่าว

พวกเขาทั้งสองคนต่างหันหน้าและพูดคุยกันต่อไปอย่างเรื่อยเปื่อย

………………………………..

          “ โอ้โห ข้าคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะ จางยวิ๋นเทียน ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า ในตอนนี้ข้าเกรงว่ามันคงจะมิกล้าเสนอหน้าต่อหน้าฝูงชนอีกเป็นแน่! ” เย่หรูเชว่ กล่าวพลางหัวเราะ

          “ นั่นมันเป็นเพียงแค่โชคดีเท่านั้น! ” เย่ชีเหวิน ว่ากล่าว

          “ ข้ากลับมาแล้ว! ” เย่ฟง เปิดประตูเข้ามาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี “ น้องเล็กข้าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการประลองของเจ้ามาบ้างแล้ว คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะ จางยวิ๋นเทียน โดยที่มันไม่อาจตอบโต้เจ้าได้เลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว ”

ร่างกายสูงใหญ่และกลิ่นอายที่ดูสุขุมเยือกเย็น เสื้อผ้าของ เย่ฟง อยู่ในสภาพที่ขาดรุ่งหริ่ง หลังจากที่เขาได้กลับมาจากการฝึกฝนที่ด้านหลังของหุบเขาชิงฟง

          “ มันอาจกล่าวได้ว่าเจ้าช่วยระบายความโกรธของข้าได้มากเลยทีเดียว! ” เย่ฟง กล่าวพลางหัวเราะ

          “ มีอะไรเช่นนั้นหรือพี่ใหญ่ หรือว่าท่านมีความแค้นส่วนตัวกับ จางยวิ๋นเทียน? ” เย่ชีเหวิน กล่าวถาม

เย่ฟง ยิ้มอย่างข่มขื่นพลางว่ากล่าว “ ใช่แล้วข้ากับมันเคยประมือกันที่ด้านหลังของหุบเขาชิงฟงครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นข้าเพิ่งได้ก้าวขึ้นเป็นศิษย์หลัก และกำลังเก็บเกี่ยวส่วนผสมโอสถอยู่เบื้องหลังของหุบเขาชิงฟง แต่จู่ ๆ ข้าก็ได้ถูกรอบทำร้ายโดยมันข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบเอาชีวิตไม่รอดจากการจู่โจมด้วยอาวุธลับของมัน! ”

พลังปราณ ที่น่าหวาดกลัวได้หลั่งไหลออกมาโดยมิได้ตั้งใจ เย่ฟง ในตอนนี้ได้บรรลุถึง[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] เหลืออีกเพียงขั้นเดียวเขาก็จะสามารถทลายผ่านไปยัง[ ดินแดนขั้นลมปราณก่อเกิด ] ได้แล้ว

เย่ฟง ได้อยู่ใน[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 8 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] มานานหลายปี เพื่อผลประโยชน์ของเหล่าศิษย์หลักและการเข้าไปยังสำนักหลักยี่หยวน เขาจึงปล่อย พลังปราณ ที่อยู่ภายในร่างกายของตนหลังจากที่ได้ทำการบ่มเพาะพลังสะสมมาเป็นเวลานานถึง 2 ปีและนี่เองก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้มาถึงใน[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ได้ภายในระยะเวลาอันสั่น การวางแผนในการสร้างรากฐานของการบ่มเพาะพลังเขาคงตั้งใจที่จะทะลวงไปยัง[ ระดับขั้นลมปราณก่อเกิด ] ในเร็ว ๆ นี้

และต้องขอบคุณวิธีการบ่มเพาะพลังที่แปลกประหลาดนี้จึงทำให้ความหนาแน่นของ พลังปราณ ของเขามีประสิทธิภาพมากกว่าผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ทั่วไป

          “ ข้าได้วางแผนที่จะสอนบทเรียนให้กับมันในการแข่งขันศิษย์หลักนี้ หากแต่น้องเล็กได้แก้แค้นมันแทนข้าแล้วมันจึงช่วยลดปัญหาให้กับข้าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว! ” เย่ฟง ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจกับ จางยวิ๋นเทียน อีกแล้วหลังจากที่ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้มันได้อยู่ในระดับที่ห่างชั้นกว่า จางยวิ๋นเทียน อยู่มาก

          “ ฮี่ฮี่ พี่ใหญ่ท่านหน้าจะได้เห็นน้องสามจัดการพวกมัน ข้ารับรองได้เลยว่าท่านจะต้องยิ่งชอบใจอย่างมากเป็นแน่! ” เย่หรูเชว่ กล่าวด้วยรอยยิ้มหวานที่ปรากฏยังใบหน้าของนาง

          “ อย่ามั่วมาเยินยอน้องสามอยู่เช่นนี้เลย เจ้าเองก็ต้องรีบเร่งบ่มเพาะพลังด้วยเช่นกัน หลังจากที่ได้บุกฝ่าไปยัง[ ระดับขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] เจ้าจะได้มีคุณสมบัติเข้าสู่สำนักหลักยี่หยวน! ” เย่ฟง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

          “ ข้ารู้แล้วแหละน่า! ” เย่หรูเชว่ กล่าวด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข นางมักเป็นบุคคลมั่งคลั่งไปด้วยโชคและยังรู้วิธีรับมือกับพี่ชายจอมเข้างวดอย่าง เย่ฟง เป็นอย่างดี

แต่ถึงอย่างนั้นภายในใจของนางก็ยังมิเคยใส่ใจที่จะทำการบ่มเพาะพลังของตนแบบจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครา

#########################################################

เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

B1 : อื้มก็นะบทนี้สื่อถึงตัวประกอบที่กลายเป็นก้าวขั้นบันไดให้กับพี่เหวิน ได้อย่างดีเลยทีเดียว 55555

B2 : 55555 ใช่ ๆ มากันเยอะ ๆ ไปเรียกพวกมาอีกนะทีนี้จะได้หวานปากพี่เหวินเขา

B1 : ใช่ ๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่นอกสำนัก เพราะถ้าอยู่นอกสำนักแม้งคงตายไปแล้ว และพี่เหวินเราก้จะได้รูดทรัพมัน 5555

B3 : ขนาดนั้นเลยนะ

B2 : อื้มขนาดนั้นเลยแหละ

B3 : อืมมมม ว่าแต่มีใครเห็นพระนางไหมช่วงนี้รู้สึกเหมือนจะมาแค่ 2 บทแล้วก็หายไป

B1,B2 : เออนั่นสิ จะว่าแล้วก็ลืมไปเลย

B3 : 55555 แลดูพระนางกับตัวประกอบนี้จะมีสถานะที่คล้าย ๆ กันนะ 47 บทมา 2 บทแล้ว หาย 5555555

B1 : เห้ย ๆพูดให้ดีนะเว้ยพระนางก็คือพระนาง มันจะเป็นตัวประกอบไปได้ยังไง นี่เขาเรียกว่าปูเนื้อเรื่องเว้ยปูเนื้อเรื่อง

B3 : แต่มันออกมาแค่ 2 บทเองนะแล้วจะไม่ให้เรียกว่าตัวประกอบได้เช่นไร 55555 เอ๊ะ ๆ บทหน้ามันจะเป็นยังไงต่อไปนะ เห้อไปรอดูบทหน้าดีกว่า 55555

B1 : เดี้ยวไอ้สาม { ม. } กลับมาแก้คำพูดของ { ม. } เดี้ยวนี้เลยนะ ฮวาเหมิงฮัน { ก. } คือนางเอกโว้ยไม่ใช่ตัวประกอบ

B2 : แต่ที่มันพูดก็ถูกนะ เป็นนางเอกแต่กลับมาแค่ 2 บท ? หรือจะเป็นตัวประกอบจริง ๆ ??

B1 : ไอ้สอง!!!!!!!!!!!!!!

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม