บทที่ 51 - ดินแดนโลหิตหยวน

เหล่าศิษย์ทั้งหมดที่ได้มาถึงยังบนยอดเขา ต่างก็รวบรวมพลังปราณของตนเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย หากแต่มีเพียงแค่ เย่ชีเหวิน เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มิได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอันใด หลังจากที่เส้นพลังลมปราณของเขาได้เกิดการขยายตัวจึงทำให้พลังปราณที่มีอยู่ภายในร่างกายของเขานั้นมีมากกว่าผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] เสียอีก

ถึงแม้ว่าพลังปราณจะถูกใช้ไปเป็นจำนวนมาก แต่มันก็ยังคงห่างไกลกับกับคำว่าเหนื่อยล้า

หลังจากที่ เย่ชีเหวิน มาถึงได้ไม่นาน เหล่าศิษย์จำนวนหนึ่งก็ค่อย ๆ ทยอยตามกันขึ้นมาจนมาถึงบนยอดเขา

ศิษย์ทุกคนที่ได้มาถึงต่างพักฟื้นร่างกายและพื้นฟูพลังปราณของตน เมื่อผู้อาวุโสทั้ง 4 ได้เห็นว่าเหล่าศิษย์ได้มากันจนครบแล้วจึงได้เริ่มเปิดพิธีเข้าสู่ดินแดนโลหิตหยวน

4 ผู้อาวุโสได้เริ่มวาดรูปแบบการก่อเปิดผนึกที่ซับซ้อน “ ฮึมเปรี้ยงเปรี้ยง ” บังเกิดเสียงดังและปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดบนยอดภูเขา ประตูมิติได้ปรากฏยังเบื้องหน้าของพวกเขาและมีแสงพร่ามัวออกมาจากประตู พวกเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าเบื้องหลังของแสงและอีกฟากหนึ่งของประตูนั้นจะมีสิ่งใดรอพวกเขาอยู่

เย่ชีเหวิน รู้ว่าหลังประตูบานนี้นั้นเป็นเพียงแค่มิติพื้นที่เล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อกับโลกหลักของพวกเขา ซึ่งสถานที่ภายในนั้นมันสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงและพลันแปลได้ตลอดเวลา

          “ เอาละ ประตูสู่ดินแดนโลหิตหยวนได้ถูกเปิดออกแล้ว พวกเจ้าทุกคนจงรีบเข้าไปเสียและจงจำไว้ให้ดีว่าพวกเจ้ามีระยะเวลาเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ภายในอีก 1 เดือนข้างหน้าพวกเจ้าจะต้องมุ่งหน้าไปยังหุบเขา ฟงเย้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ ใจกลางของดินแดนโลหิตหยวนประตูทางออกจะเปิดอยู่ที่นั่น หากผู้ใดมาไม่ทันหรือสูญหาย ประตูนี้จะเปิดอีกทีในอีก 10 ปีข้างหน้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าคงจะจำมันขึ้นใจ และจงมาให้ตรงเวลา! ” ผู้อาวุโสอ้วนอธิบาย

มากกว่า 100 จอมยุทธ์หนุ่ม จากทั้งสองฝ่าย ต่างกระโดดพุ่งทะยานเข้าสู้ประตูมิติ

แม้แต่ เย่ชีเหวิน เองแน่นอนว่าก็มิได้รีรอช้า เขาได้พุ่งทะยานออกไปแล้วเข้าสู่ประตูมิติ พื้นที่ภายในเต็มไปด้วยแสงพร่ามัวและมิติที่บิดเบี้ยว แต่แล้วในที่สุดเขาก็ได้มาปรากฏตัวยังพื้นที่ภายในดินแดนโลหิตหยวน ซึ่งในทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสพื้นและผิวสัมผัสกับชั้นบรรยากาศโดยรอบ เขาก็รู้สึกได้ถึง พลังงานปราณธรรมชาติ ที่มันหนาแน่นปะทะเข้ากับร่างกายของเขา ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะหนาแน่นมากกว่าโลกภายนอกนับหลายเท่า หากเขาได้ฝึกฝนการบ่มเพาะพลังที่นี่มีความเป็นไปได้ว่าอัตราความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขานั้นจะเพิ่มมากขึ้น

          “ ช่างสมคำร่ำลือจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดท่านเจ้าสำนักรุ่นแรกถึงได้ก่อตั้งสำนักหลังจากได้เข้ามายังพื้นสถานที่ดินแดนเล็ก ๆ แห่งนี้! ” เย่ชีเหวิน กล่าวพลางทอดถอนหายใจ เขาเคยเห็นตำราที่เล่าเท้าความถึงความเป็นมาของมันมาก่อนในสำนัก ซึ่งมันได้กล่าวเอาไว้ว่าภายในดินแดนเล็ก ๆ แห่งนี้ มันได้เต็มไปด้วยเหล่าวัตถุสมบัติและทรัพยากรล้ำค่ามากมายซึ่งเหมาะแก่การเก็บเกี่ยวและบ่มเพาะพลัง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นอันตรายอย่างมากสำหรับผู้ที่ได้เข้าไป และในตอนนี้กุญแจสำคัญที่สามารถทำหน้าที่ควบคุมมิติดินแดนแห่งนี้ได้นั้น ในตอนนี้ได้อยู่ในมือของท่านเจ้าสำนักยี่หยวนหากเกิดมีเหตุฉุกเฉินอันใดที่เป็นอันตรายต่อทั้งสำนัก พวกเขาสามารถที่จะใช้กุญแจนั้นในการอพยพผู้คนมายังดินแดนแห่งนี้ได้เพื่อทำการหลีกเลี่ยงศัตรูที่แข็งแกร่งและหมายจะทำลายสำนัก

เขามองไปยังสภาพแวดล้อมรอบตัวและค้นพบว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้ที่เขียวขจี ไม่ว่ามองไปในทิศทางไหนมันก็เป็นสภาพแวดล้อมที่สวยงาม มิหนำซ้ำมันยังอัดแน่นไปด้วย พลังงานปราณธรรมชาติ

และเนื่องจากว่าโดยรอบไม่มีผู้ใดอยู่เลย เย่ชีเหวิน จึงตระหนักได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่ประตูมิตินั้นจะส่งพวกเขาไปยังในสถานที่ที่แตกต่างกัน

เย่ชีเหวิน เพียงแค่ประหลาดใจไปชั่วครู่ ก่อนที่จะล้มเลิกความคิดของเขาและมุ่งหน้าไปยังใจกลางของดินแดนหยวนโลหิต

ค่ำคืนค่อย ๆ คืบคลาน จันทร์ทราเริ่มฉายแสง สาดส่องไปทั่วพื้นเบื้องล่างอย่างเงียบสงบ

ภายในป่าทึบที่มืดมิดและดำมืด แสงจันทร์ไม่อาจสาดส่องได้อย่างทั่วถึง มีเพียงแค่แสงสลัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเท่านั้นที่ไปถึงยังพื้นดินภายในป่า

ลึกเข้าไปภายในป่า ต่างมีเสียงคำรามของสัตว์ปีศาจนา ๆ ชนิด ปะปนกันอยู่ด้านในซึ่งไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ได้ยินเสียงคำรามของพวกมันนั้นต่างก็ต้องเสียวกระดูกสันหลังไปตาม ๆ กัน

เย่ชีเหวิน ได้หลงอยู่ภายในดินแดนโลหิตหยวนไปกว่าครึ่งวัน จนรุ่งอรุณได้ฉายแสง ไม่ว่าเขาจะก้าวเดินไปยังทิศทางไหนเขาก็มิอาจรู้ได้เลยว่าหุบเขา ฟงเย้ หรือใจกลางของดินแดนโลหิตหยวนนั้นมันอยู่ที่ใด แม้ว่าโลกใบนี้นั้นมันจะเป็นเพียงแค่โลกใบเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับโลกหลัก หากแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีพื้นที่ที่กว้างขวางอยู่มิใช้น้อย

สายลมได้กระทบผ่านตัวเขาและกระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ

เย่ชีเหวิน หยุดนิ่งและมองออกไปยังเบื้องหน้า ค้นพบลำตัวสูงกว่า 2 เมตรและยาวกว่า 3 เมตร มันคือสัตว์ปีศาจเสื้อดาวม่วง มันยืนอยู่ด้านบนกิ่งไม้สูงและจับจ้องมองลงมายังเขาอย่างเงียบ ๆ ขนของมันนั้นช่างนุ่มเรียวและเรียบเนียนทั้งยังสามารถสะท้อนแสงโดยรอบได้และที่ขาของมันยังมีกรบเล็บที่แหลมคมซึ่งสามารถฉีกกระฉากเหยื่อได้อย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำขากรรไกลของมันก็ยังดูทรงพลังและยังมีเขี้ยวตมโต สายตาของมันที่จับจ้องมายัง เย่ชีเหวิน นั้นมันช่างราวกับเป็นสายตาของปีศาจร้าย ด้วยรูปลักษณ์ของมันในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความหวาดผวาให้กับผู้คน

สายตาที่เยือกเย็นคมชัดจับจ้องมาที่ เย่ชีเหวิน เขาได้เคยอ่านตำราเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจมาจำนวนนับไม่ถ้วน จึงได้รู้ว่าเจ้าสัตว์ปีศาจตัวนี้มันมีชื่อเรียกว่า ยูหยิ่งเป้า เพราะมันไม่ได้มีเพียงแค่ความเร็วเท่านั้น แต่ยังมีการเคลื่อนไหวที่เงียบเฉียบ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสีขนที่เป็นสีม่วงของมันจึงทำให้มันยิ่งกลมกลื่นไปกับความมืดได้เป็นอย่างดี ซ้ำมันยังครอบครองพลังอำนาจที่แข็งแกร่ง แล้วยิ่งด้วยความเงียบที่เป็นทักษะเฉพาะตัวของมันจึงนับได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ยากตัวหนึ่ง

เมื่อมองดูจากกลิ่นอายของมันแล้วสมควรที่จะอยู่ใน[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ซึ่งแน่นอนว่าความแข่งแกร่งของมันนั้นไร้ข้อกังขา ซ้ำยังถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสัตว์ปีศาจชนชั้นสูง หากบางตัวที่มีการวิวัฒนาการแล้วพวกมันจะมีระดับการบ่มเพาะพลังอยู่ที่ขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิดขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่พวกมันสมควรที่จะอาศัยอยู่ภายในส่วนลึกของของหุบเขา ฟงเย้ หากแต่ เย่ชีเหวิน กับพบเจอมันในขอบเขตของภูเขาจึงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

เฉกเช่นเดียวกับแมวย่อง ยูหยิ่งเป้า ได้ก้าวลงมาจากกิ่งไม้อย่างเงียบเฉียบแล้วหายไปกับโพลงหญ้า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมันคือการเคลื่อนไหวที่เงียบเฉียบ

แม้ว่าระดับการบ่มเพาะพลังของ ยูหยิ่งเป้า จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าเมือบกับ เย่ชีเหวิน แล้วถึงแม้ว่าจอมยุทธ์และสัตว์ปีศาจจะมีระดับการบ่มเพาะพลังอยู่ในระดับเดียวกันสัตว์ปีศาจก็ยังเหนือกว่า หากแต่ทฤษฎีเหล่านั้นมันไม่อาจนำมาใช้ได้กับ เย่ชีเหวิน เพราะด้วยความแข็งแรงที่แท้จริงของเขามันไม่อาจมองดูด้วยได้ที่ระดับการบ่มเพาะพลัง

การเคลื่อนไหวของ ยูหยิ่งเป้า ช่างรวดเร็วและเงียบเฉียบ มันได้วิ่งวนรอบ เย่ชีเหวิน ราวเหมือนกับว่ามันต้องการทำความเข้าใจการกระทำของ เย่ชีเหวิน เมื่อถึงคราวเวลาที่เหมาะเจาะมันก็ได้คำรามขึ้นมาอย่างฉับพลันและกระโจนเข้าใส่ เย่ชีเหวิน จากทางด้านหลังในทันที ปากของมันเปิดกว้างพร้อมส่งกลิ่นเหม็นที่สุดจะทน มันพุ่งกระโจนเข้ามาเพื่อหมายจะหงับศีรษะของ เย่ชีเหวิน

แต่ถึงแม้ว่า ยูหยิ่งเป้า จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบเฉียบประดุจราวกับเงา เย่ชีเหวิน ก็ได้เตรียมพร้อมที่จะรับมือเอาไว้แล้ว หลังจากที่ได้สังเกตการเคลื่อนไหวของ ยูหยิ่งเป้า เขาจึงสามารถคาดเดาการจู่โจมที่รวดเร็วและเงียบเฉียบของ ยูหยิ่งเป้า ได้แล้วจึงสามารถหลบมันได้อย่างง่ายดาย เย่ชีเหวิน ได้คว้าจับมีดยาวของเขาพลางฟาดฟันออกไปด้วยพลังอำนาจอันมหาศาลจู่โจมใส่ทางด้านข้างของ ยูหยิ่งเป้า

หากเป็นสัตว์ปีศาจตนอื่นที่ได้ประมือกับใบมีดนี้ ด้วยความมั่นใจของพวกมันมันคงได้ถูกตัดออกเป็นสองส่วนไปแล้วเป็นแน่

หากแต่นี่เป็น ยูหยิ่งเป้า ด้วยความฉลาดของมัน ทันทีที่ใบมีดพุ่งตรงเขามามันได้รีบพุ่งทะยานถอยห่างออกไปในทันทีนับหลายเมตร ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อและหลังจากที่มันหลบการโจมตีของ เย่ชีเหวิน ได้ดูเหมือนว่ามันจะระมัดระวัง เย่ชีเหวิน เพิ่มมากขึ้น

          “ ตึม! ” เสียงดังสนั่น ใบมีดยาวได้ฟาดลงไปที่พื้นดิน จนเกิดเป็นรอยแตกแนวยาวไปทั่วพื้นที่บริเวณโดยรอบ เย่ชีเหวิน

ยูหยิ่งเป้า นิ่งเงียบและจับจ้องไปที่ เย่ชีเหวิน ด้วยสายตาที่ระมัดระวัง มันไม่ได้คาดหวังว่า เย่ชีเหวิน จะมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ขอบเขตความแข็งแกร่งของ เย่ชีเหวิน ช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนักแม้ว่ามันจะเป็นถึง[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ทั้งมีทักษะเฉพาะตัวคือความเร็วที่มิอาจหาที่ใดเปรียบกับต้องรู้สึกหวั่นเกรงต่อความรวดเร็วของ เย่ชีเหวิน

แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ามันจะหวั่นเกรงต่อความแข็งแกร่งอันน่าหวาดหวั่นของ เย่ชีเหวิน หากแต่มันไม่เต็มใจที่จะถอยหลังหนีและได้คำรามออกมาด้วยเสียงที่ต่ำ ซึ่งดูเหมือนว่า เย่ชีเหวิน จะสังเกตเห็น ยูหยิ่งเป้า ว่ามันคงรู้แล้วว่าผู้ใดกันที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดระหว่างพวกเขาทั้ง 2 แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงมิได้ใส่ใจ มันอาจกล่าวได้ว่า ยูหยิ่งเป้า นั้นเป็นสัตว์ปีศาจที่มีความเฉลียวฉลาดมากกว่าสัตว์ปีศาจสามัญทั่วไป ซึ่งโดยปกติแล้วหากพวกสัตว์ปีศาจเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าสัญชาตญาณของพวกมันจะบังคับให้พวกมันต้องถอยหนีเพื่อรักษาชีวิตของตน หากแต่นี่มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้น

#########################################################
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

B1 : เอาอย่างนั้นเลยนะ นี่หนาดหมายังมีชื่อ!!!!

B3 : เดี้ยว ๆ ไอ้{ ส. } นั่นมันเสือ

B1 : เออนั่นแหละเหมือนกันเพราะยังไงเดี้ยวมันก็ตายเยี่ยงหมา

B3 : เหอะได้ทีก็เอาใหญ่

B1 : เหอะได้ทีหรอ?? { ม. }ใช้อะไรดูว่ะตาหรือตูด นี่{ ก. }ได้มาหลายทีแล้วไอ้สาม!!!!! 55555

B3 : เหอะ!! { ส. }

B1 : 555555 เอ้อ B2 พอดีมีข้อสงสัย ไอ้พลังงานปราณธรรมชาตินี่มันคืออะไร?? แล้วไอ้ พลังปราณ กับ พลังงานปราณ นี่มันเหมือนกันไหม

B2 : อ๋อ ไม่เหมือนดิ พลังปราณ ก็คือพลังอำนาจที่อยู่ภายในร่างกายของพวกจอมยุทธ์ไงส่วน พลังงานปราณ เนี่ยก็คือพลังภายนอก อย่างเช่น พลังงานปราณธรรมชาติ ในบทนี้ที่อยู่ตามชั้นบรรยากาศของสภาพแวดล้อมนั้น ๆ กับ พลังงานปราณจิตวิญญาณ ที่มาจากการเผาผลาญ ศิลาวิญญาณ

B1 : อ่อแล้วว่าแต่ ไอ้พวก พลังงานปราณธรรมชาติ เนี่ยคือมันสามารถดึงมาบ่มเพาะได้ตลอดเวลาเลยว่างั้น

B2 : เห้อ เคยอ่าน เนียหลี่ TDG ไหม บทไหนจำไม่ได้แต่รู้สึกว่าบทนั้นมันจะเป็นตอนที่ปะทะกันกับ หลงยูอิน อ่ะเอ้อมันก็ดูดซับพลังเหมือนอย่างนั้นแหละอารมณ์เดียวกัน

B1 : อ๋อ เข้าใจล่ะ ๆ

B3 : เนี่ย { ม. } นี่มันโง่จริง ๆ เลยนะเรื่องแบบนี้ก็ต้องถาม โธ่ ไอ้โง่!!!!!

B1 : เอ้อพ่อคนฉลาด!!!!

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม