บทที่ 82 - เขตแดนความคิด

          “ งั้นนี่ก็หมายความว่าเจ้าคือน้องชายของ เย่ฟง เหอะ!...เจ้ากล้ามากที่บังอาจมาก่อความสับสนวุ่นวายที่นี่ เจ้าค่อนข้างมีความกล้าหาญแต่คิดหรือว่าเจ้าจักสามารถรอดพ้นไปจากที่นี่ได้? เจ้าควรคิดให้ดีก่อนที่จักทำผิดกฎของสำนัก!่ ” เหวินชิหยาง กล่าว

          “ ผิดกฎของสำนัก? ” เย่ชีเหวิน กล่าวพลางหัวเราะลั่น หากในที่นี้มีคนที่เคารพกฎระเบียบของสำนักจริง เย่ฟง ก็คงมิต้องบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้น เหล่าบรรดาผู้คนที่ใช้กฎของสำนักมันก็เป็นได้เพียงแค่ข้ออ้างในการป้องกันตัวของผู้ที่อ่อนแอ คนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงย่อมต้องไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องกฎระเบียบของสำนัก

ก่อนหน้า เหวินชิหยาง ได้หาเรื่องเกี่ยวกับมิตรสหาย เย่ชีเหวิน แต่กลับมิเห็นกล่าวถึงเรื่องกฎระเบียบของสำนัก แต่พอเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกลับตัวกับอ้างถึงกฎระเบียบของสำนักแล้วเช่นนี้มันหมายความว่าเช่นไร? ฮะฮ่า มันช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันยิ่งนัก

          “ หุบปากเหม็น ๆ ของเจ้าเสีย เหตุผลที่ข้ามาในวันนี้ ก็เพื่อที่จักทำสิ่งเดียวกับเจ้าที่เจ้าได้ทำไว้กับพี่ชายข้า! ” เย่ชีเหวิน ว่ากล่าว เย้ยหยัน

          “ เจ้ารนหาที่ตาย! ” เหวินชิหยาง กล่าวพลางจับจ้องไปที่ เย่ชีเหวิน เขานั้นถูกกล่าวว่าเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมของ[สำนักย่อยเชาหยาง]และไม่มีใครที่กล้าพอที่จักพูดเช่นนี้กับเขา ฉะนั้นแล้วทันทีที่เขาได้ยินคำกล่าวของ เย่ชีเหวิน มันจึงทำให้เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก

เหวินชิหยาง ได้ก้าวออกไปยังเบื้องหน้าและพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วจนร่างกายของเขานั้นกลายเป็นภาพที่พร่ามัว ในขณะที่ความเร็วของเขาเกือบจักทะลุกำแพงเสียง ก่อให้เกิดเสียงลมแรงเจ้าหูที่น่าหวาดกลัวกวาดผ่านท้องฟ้า เหล่าศิษย์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างป้องมือขึ้นเพื่อปิดหูของพวกเขา แต่เป็นเพราะว่าเสียงลมนั้นมันมีความน่าหวาดกลัวมากเกินไป จึงทำให้พวกเขาบางคนมีโลหิตหลั่งไหลออกมาจากหูของพวกเขา

          “ เสียงชักดาบ[ชวิ้ง]! ” ด้ามมีดยาวได้ปรากฏอยู่ภายในมือของ เหวินชิหยาง เขาได้นำมันออกมาจากแหวนพื้นที่ของเขาอย่างฉับพลันพลางสับตรงไปยังทิศทางของ เย่ชีเหวิน ในทันที

เหวินชิหยาง นั้นมีความแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับ ฮั่วเฉิง และ ชวี๋เหลี้ยง เขาได้มาถึงแล้วใน[ ระดับขั้นที่ 2 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] และมีการผันแปร[ พลังปราณก่อเกิด ] ไปแล้วกว่า 30% แม้ว่า[ พลังปราณก่อเกิด ] ของเขาจักอยู่เหนือกว่าอีก 2 คนเพียงแค่ 10% แต่นั่นก็มากพอแล้วที่จักทำให้ความแข็งแกร่งของเขานั้นเหนือกว่าอีก 2 คนถึง 2 เท่า

แต่ถึงอย่างนั้น เย่ชีเหวิน ก็มิได้มีความหวั่นเกรงใด ๆ และไม่แม้แต่ที่จักหลีกหนี “ เสียงชักดาบ[ชวิ้ง]! ” พร้อมปล่อย[ พลังปราณใบมีด ] ขึ้นไปเหนือท้องฟ้า พลางปรากฏรูปเงาดวงจันทร์ขนาดใหญ่ ๆ เพิ่มขึ้น ฉับพลันแรงกดดันอันมหาศาลได้กดลงมายังพื้นเบื้องล่าง ซึ่งในขณะเดียวกันมันก็ได้แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เย่ชีเหวิน นั้นมีความเข้าใจต่อเคล็ดวิชาใบมีดมากแค่ไหน ทันทีที่ฝูงชนได้เห็นต่างก็ตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า เพราะนั่นมันหมายความว่าความเข้าใจในเคล็ดวิชาใบมีดของ เย่ชีเหวิน นั้นได้อยู่ในระดับที่ห่างไกลเกินพวกเขา

แม้ว่า เหวินชิหยาง จักได้รับการฝึกฝน[ เคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับขั้นสูง ] แต่นั่นมันก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เคล็ดวิชาใบมีดของเขานั้นมิได้มีความใกล้เคียงใดเลยกับเคล็ดวิชาใบมีดของ เย่ชีเหวิน แม้ว่าเขาจักสามารถฝึกฝนมันไปจนถึงในระดับ[ ดินแดนที่ 4 สูงสุด ] หากแต่เขาก็ยังมิอาจพัฒนาเคล็ดวิชาไปจนถึงในระดับ[ เขตแดนความคิด ]ได้ ซึ่งนั่นนับว่าเป็นจุดสูงสุดของพลังอำนาจที่แท้จริงของเคล็ดวิชา

และความห่างชั้นในแต่ละดินแดนของเคล็ดวิชานั้น มันมีความแตกต่างที่ห่างกันมากเกินไป

          “ เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือ[ เขตแดนความคิด ]! ข้ามั่นใจว่าข้าเห็นดวงจันทร์กำลังล่วงหล่นลงมาตามการโจมตีใบมีดของเขา! ”ศิษย์ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาในลักษณะที่ตะลึง

หลังจากที่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาใบมีดจนมาถึงในระดับจุดสูงสุดของ[เคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับขั้นก่อเกิด] จึงทำให้สามารถบรรลุระดับ[ เขตแดนความคิด ] แม้ว่าพลังอำนาจจากกระบวน[ ตัดจันทร์เพ็ญ ]นั้นจะรุนแรง หากแต่มันก็เทียบเท่าได้เพียงแค่[ เคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับขั้นสูง ] ในขณะที่เคล็ดวิชา[ ตัดจันทร์หนาว ]นั้นเป็น[เคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับขั้นก่อเกิด] แม้ว่าในแต่ละกระบวนท่านั้นจักไม่เหมือนกัน แต่หลังจากที่ได้แสดง[ เขตแดนความคิด ]ทุกกระบวนท่าจักถูกรวมเป็น 1

ซึ่งผู้ที่สามารถสำแดง[ เขตแดนความคิด ]ออกมาได้เท่านั้นถึงจักกล่าวออกมาได้อย่างเต็มปากว่านั่นคือ[ เคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับขั้นก่อเกิด ] เพราะถ้าหากผู้ที่ฝึกฝน[ เคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับขั้นก่อเกิด ]ไม่สามารถสำแดง[ เขตแดนความคิด ]ออกมาได้ เคล็ดวิชานั้นก็จักไม่ต่างอะไรไปกว่า[ เคล็ดวิชาการต่อสู่ระดับขั้นสูง ]

และแน่นอนว่าผู้ที่สามารถเข้าใจ[ เขตแดนความคิด ] จักทำให้พลังอำนาจของเคล็ดวิชาการต่อสู้นั้น ๆ เพิ่มขึ้นมาอย่างไร้ขอบเขต และจักแสดงรูปร่างเคล็ดวิชาที่เหมาะสมของมันออกมา

ซึ่งภายในฝูงขนาดใหญ่ต่างมีหลายศิษย์ที่โดดเด่นปะปนอยู่ภายใน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นต่างเข้าใจดีถึงความสำคัญของ[ เขตแดนความคิด ] แม้ว่าจักมีบางคนในหมู่พวกเขาสามารถฝึกฝน[ เคล็ดวิชาการต่อสู่ระดับขั้นก่อเกิด ]ไปยัง[ ดินแดนที่ 4 สูงสุด ]เพียงแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจักสามารถเข้าใจ[ เขตแดนความคิด ]ที่ซุ่มซ่อนอยู่ภายเคล็ดวิชาที่พวกเขาฝึกฝน และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจของมันออกมาได้เทียบเท่ากับ[ เคล็ดวิชาการต่อสู่ระดับขั้นสูง ]ได้เพียงเท่านั้น

นอกจากนี้ความสามารถที่สามารถเข้าใจ[ เขตแดนความคิด ] ได้ด้วยเพียงอายุเท่านี้นั้น มันอาจกล่าวได้เพียงว่าหาได้ยากยิ่ง

          “ เขตแดนความคิด มันคือ เขตแดนความคิด ไม่ผิดแน่ หากอาศัยด้วยพลังอำนาจจาก เขตแดนความคิด นี้มีความเป็นไปได้ที่เขาจักสามารถก้าวขึ้นไปยัง 10 ศิษย์ที่รุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดภายในปีนี้! ”

ผู้คนมากมายต่างตกใจรวมทั้ง เหวินชิหยาง เองที่ได้อยู่ใกล้ที่สุดต่อพลังอำนาจที่น่าหวาดกลัวของ[ เขตแดนความคิด ]เคล็ดวิชาใบมีดของ เย่ชีเหวิน เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับ[ เขตแดนความคิด ]ที่น่าหวาดกลัวที่ราวเหมือนกับท้องฟ้าได้พังทลายลงมา มันได้ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับดวงจันทร์ได้ปรากฏขึ้นมาจริง ๆ แม้ว่ามันจักมิใช่ของจริงก็ตาม แต่ความรู้สึกที่ เหวินชิหยาง ได้รับนั้นมันคือของจริง เขารู้สึกราวเหมือนกับว่าตนนั้นได้เดินอยู่ท่านกลางแสงจันทร์ ในขณะที่ดวงจันทร์ค่อย ๆ ล่วงหล่นลงมาราวกับสวรรค์จักพลิกคว่ำ หรือแม้กระทั่งลอยขรุขระที่อยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์เขาก็ยังสามารถเห็นมันได้อย่างชัดเจนราวเหมือนกับว่าเขาไม่สามารถหลบพ้นมัน ความรู้สึกอันหนาวเย็นที่ได้แฝงมากับแสงจันทร์อันบริสุทธิ์มันได้เจาะลึกเข้าไปยังภายในจิตวิญญาณของเขา

ความรู้สึกของแรงกดดันที่ลึกล้นพ้นเช่นนี้มันทำให้ เหวินชิหยาง ไม่อาจทำใจยอมรับได้และเขาเริ่มที่จักเป็นกังวลเกี่ยวกับการต่อสู้ในครั้งนี้ ภายในจิตใจของเขาต้องเต็มไปด้วยความสับสน

เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้!

เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้!

เหวินชิหยาง แทบมิอยากจักเชื่อสายตาตนเอง เพราะแม้ว่าจักฝึกฝนมาถึง[ ดินแดนที่ 4 สูงสุด ]นั่นก็เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเข้าใจแก่นแท้ของเคล็ดวิชาเพียงเท่านั้น แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเข้าใจ[ เขตแดนความคิด ]นั่นก็เท่ากับพวกเขาเข้าใจแก่นแท้ทั้งหมดของเคล็ดวิชานั้น ๆ และสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจเต็มที่ของมันออกมาได้

ซึ่งนั่นจักมีเพียงแค่[ เคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับขั้นก่อเกิด ] หรือสูงมากกว่านั้น ผู้ที่สรรสร้างเคล็ดวิชาเหล่านี้ขึ้นมาจักถูกเรียกว่า[ ผู้เลียนแบบธรรมชาติ ] เหล่าบรรพชนรุ่นแรกที่ได้ก่อรากสร้างฐานในการสรรสร้างเคล็ดวิชาต่าง ๆ เพื่อให้ได้เข้าใจ[ เขตแดนความคิด ] พวกเขาจำเป็นที่จักต้องมีแนวคิดสร้างสรรค์และเข้าใจในศิลปะ ซึ่งนั่นก็คือรากฐานในดารเข้าใจ[ เขตแดนความคิด ]

และหลังจากผู้ที่ได้เข้าใจมันก็จักสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจของมันออกมาได้อย่างไร้ขอบเขต ซึ่งเคล็ดวิชาใบมีดของ เย่ชีเหวิน ก็ได้ก้าวไปถึงในระดับที่น่ากลัวเช่นนั้นแล้ว ฉะนั้นแล้วเคล็ดวิชาที่เขาได้แสดงมันออกมาจึงสง่างามเช่นราวกับพวกเขากำลังชมดวงจันทร์อยู่จริง ๆ

ซึ่งการการกระทำของ เย่ชีเหวิน นั้นมันได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่านี่คือ[ เขตแดนความคิด ] และแน่นอนว่านี่ก็คือพลังอำนาจสูงสุดของเคล็ดวิชา

ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากเกินที่จักเชื่อ

ดวงตาของ เหวินชิหยาง เปิดกว้างและไม่อยากที่จักยอมรับความจริง ไม่เพียงแค่ เย่ชีเหวิน ได้ก้าวมาถึงใน[ ดินแดนที่ 4 สูงสุด ]ของเคล็ดวิชาใบมีด หากแต่ยังมีความเข้าใจใน[ เขตแดนความคิด ] ซึ่งเขาในตอนนี้ต่างกระวนกระวายเพราะไม่เข้าใจว่ามันคือของจริงหรือไม่ แต่ถ้าหากนี้คือของจริงสถานการณ์ของเขาในตอนนี้นั้นย่อมกล่าวได้ว่าอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อตัวเขาอย่างมาก

เขาไม่เคยได้รับรู้มาก่อนว่า เย่ชีเหวิน นั้นมี[ พื้นที่ลึกลับ ] เพื่อให้ได้เข้าใจ[ เขตแดนความคิด ]พวกเขาจำเป็นที่จักต้องมีความสามารถที่มากพอ แต่นั่นไม่อาจนำมาใช้ได้กับ เย่ชีเหวิน หลังจากที่เขามีศิลาวิญญาณที่มากพอในครอบครอง ไม่ว่ามันจักเป็นเคล็ดวิชาประเภทไหนมันก็ไม่มีปัญหาสำหรับเขาที่จักฝึกฝน

เย่ชีเหวิน นั่นไม่ได้บุคคลที่มากไปด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งมานับแต่เกิด แต่ความแข็งแกร่งของเขาถูกเสริมสร้างขึ้นมาจากความขยันหมั่นเพียรในการบ่มเพาะพลังที่บ้าคลั่งของเขาและตราบใดที่เขามีศิลาวิญญาณที่มากพอความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขานั้นจักเพิ่มสูงขึ้นจนถึงในระดับที่น่าสะพรึงกลัว แต่สำหรับคนอื่น ๆ แล้วเพื่อให้พวกเขาเดินไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามพวกเขาจำเป็นที่จักต้องมีความรู้และความเข้าใจมากขึ้น จึงมีอยู่ไม่น้อยที่พวกเขาจักต้องพึ่งห้องโถงตำรายุทธ ซึ่งเต็มไปด้วยตำราต่าง ๆ มากมายที่จักช่วยทำให้พวกเขามีความรู้และความเข้าใจในสาระสำคัญมากขึ้น และแน่นอนว่าก็พวกเช่นนั้นที่สามารถค้นหาเส้นทางของตนเองได้จากภายในสถานที่แห่งนั้น พวกเขาสามารถหาคำตอบในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้เมื่อพวกเขาได้พบกับตำราที่เหมาะสม

แต่ดูเหมือนว่า เย่ชีเหวิน คงจักไม่ได้พบกับปัญหาเช่นนั้น หลังจากที่ที่นี่มีระบบอัจฉริยะในการคดเลือกตำรา ซึ่งมันได้ถูกจัดแจ้งเอาไว้แล้วเรียบร้อยอย่างเป็นระบบ เพียงแค่บ่งบอกถึงตำราและประเภทที่พวกเขาต้องการพวกเขาก็จักได้ตำราที่เหมาะสมกับตนในทันที โดยที่ไม่ต้องไปงมกับหาตำราในมหาสมุทรแห่งตำราที่ไม่รู้ว่าตำราที่เหมาะสมกับตนนั้นอยู่แห่งหนใด

แต่ ณ สถานที่แห่งนั้นก็เป็นเพียงแค่สถานที่ที่เต็มไปด้วยเหล่าบุคคลอัจฉริยะที่แข็งแกร่งระดับสูง ซึ่งมันแตกต่างจากบุคคลธรรมดาที่นี่อย่างลิบลับ

เย่ชีเหวิน สับใบมีดของเขาลงพร้อมกับภาพ[ เขตแดนความคิด ]กดลงไปยัง เหวินชิหยาง [ พลังปราณใบมีด ]ของบุคคลธรรมดาทั่วไปนั้นไม่อาจต้านทานแรงกดดันของ[ เขตแดนความคิด ]ที่ราวเหมือนกับสามารถบดขยี้โลกทั้งใบได้ด้วยเพียงกำมือ

[ พลังปราณใบมีด ] ของพวกเขาทั้ง 2 ต่างเข้าห้ำหั่นกันกลางเวหา ซึ่งแรงเสียดของมันได้ส่งเสียงแหลมเจาะหูก้องกังวานไปทั่วทุกสารทิศ

          “ ตูม! ”

ในที่สุด[ พลังปราณใบมีด ]ของ เย่ชีเหวิน ก็ได้บดขยี้[ พลังปราณใบมีด ]ของ เหวินชิหยาง และฟาดฟันลงไปที่ร่างกายของเขาอย่างรุนแรง

          “ ปัง! ” ใบมีดของ เหวินชิหยาง ไม่อาจป้องกันการจู่โจมอันน่าเหลือเชื่อของ เย่ชีเหวิน ได้ ร่างกายของเขาถูกส่งบินออกไปไกลอย่างฉับพลันก่อนที่จักล่วงลงสู่พื้นและกระอักโลหิตออกมา 1 คำ

#########################################################
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ


B1 : [ส.]สาธยายทั้งเรื่อง [ก.]น้ำ ๆ เส้น ๆ มา 2 3 บทและเนี่ย

B2 : บทนี้เอาลูกชิ้นกี่ลูกดี

B4 : เริ่มจะอิ่มกับผักแล้วนะ สาระนี่มาเต็ม

B3 : [ก.]เนี่ยเริ่มจะอิ่มกับพวก[ม.]ล่ะ ไอ้[ส.]ข้างบนแม้งก็กาก ข้างล่างแม้งก็คุยกันแต่เรื่องก๋วยเตี๋ยว WTF…

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม