บทที่ 99 - สงครามที่เข้าตาจน

ความเยือกเย็นได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มชุดคลุมสีเหลือง ซึ่งมีคิ้วโด่งที่โดดเด่น

          “ ในเมื่อศิษย์น้อง จางซุนยวี้หยิน ไม่คิดที่จะมอบมันให้แก่พวกข้า ก็อย่าหาว่าข้า เซี่ยงกัวเซวียนยี้ ผู้นี้มิได้กล่าวเตือนเจ้าก็แล้วกัน! ” เซี่ยงกัวเซวียนยี้ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่น
เหล่าศิษย์ของ[สำนักย่อยปิงเต่า]เฉกเช่นเดียวกับศิษย์ผู้แข็งแกร่งจากสำนักภายนอก พวกเขาต่างก้าวเดินออกมายังเบื้องหน้าอย่างฉับพลัน และเข้าล้อมลอบศิษย์จาก[สำนักย่อยยวี้นวี้]และศิษย์จาก[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]

พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] แม้ว่าศิษย์จาก[สำนักย่อยยวี้นวี้]และ[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]จะร่วมมือกัน หากแต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะต่อกร ด้วยจำนวนที่มากกว่าและความแข็งแกร่งของศิษย์จาก[สำนักย่อยปิงเต่า]ที่มีความสามารถทัดเทียมได้กับ[สำนักย่อยยวี้นวี้] ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้ง 2 อาจกล่าวได้ว่าเท่าเทียมกันหากแต่สำหรับ[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]นั้น มันนับได้ว่าเป็นความต่างชั้นที่ห่างไกลกันอยู่โข แม้ว่าในตอนนี้[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]จะมีผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ถึง 5 คนแล้วก็ตาม หลังจากที่ เฉียนเหวิ่นลู้ และ หวู่เฮ้า สามารถก้าวมายัง[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ได้เมื่อไม่นานมานี้

พวกเขาทั้ง 2 ฝ่ายต่างเริ่มสู้รบและเข้าปะทะกัน แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปได้ไม่นานศิษย์จาก[สำนักย่อยยวี้นวี้]และ[หุบเขาฉิงฟง] ต่างก็ได้บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นเส้นแสงลับหายไป

จางซุนยวี้หยิน และ เย่ฟง ต่างวิ่งไปยังด้านหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับ เซี่ยงกัวเซวียนยี้ ชายหนุ่มชุดคลุมสีม่วง และ ชายหนุ่มชุดคลุมสีเหลือง

หาก เย่ชีเหวิน ได้อยู่ที่นี่เขาคงจะต้องตกใจมากเป็นแน่ หลังจากที่เขาจากกลุ่ม[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]ไปเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั่น ๆ พี่ชายของเขา เย่ฟง กลับมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนในบัดนี้ เขาได้มาถึงแล้ว[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 3 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] ซึ่งความแข็งแกร่งของเขาอาจกล่าวได้ว่ามิได้ด้อยไปกว่า เซี่ยงกัวเซวียนยี้ หรือผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 3 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]คนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย

นอกจากนี้พวกเขาทั้งหมดเองต่างก็เป็นศิษย์ชั้นนำผู้แข็งแกร่ง จึงเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาผลของการต่อสู้ในครั้งนี้

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่า จางซุนยวี้หยิน และ เย่ฟง จะร่วมมือกัน แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่ใกล้เคียงกัน มันเป็นไปได้ยากที่พวกเขาเพียงแค่ 2 คนจะสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่มีถึง 3 คนได้

ด้วยระยะเวลาเพียงไม่นาน 3 ผู้เชี่ยวชาญได้บังคับให้ จางซุนยวี้หยิน และ เย่ฟง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ ซึ่งในเวลานี้ความกังวลได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาทั้ง 2 ความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นรองเพียงแค่จำนวน นอกจากนี้พวกเขายังถูกกดดันอย่างสมบูรณ์และหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าพวกเขาคงจะต้องพ่ายแพ้ในที่สุด

นอกจากนี้ เซี่ยงกัวเซวียนยี้ เองก็ยังต้องการที่จะเอาชนะ จางซุนยวี้หยิน และ เย่ฟง ให้เร็วที่สุด เพราะเขาต้องการที่จะเก็บแรงเอาไว้ อย่าลืมว่าในสถานที่แห่งนี้ยังคงมีผู้สังเกตการณ์อย่าง เหยียนชือหลิง คอยเฝ้าจับตามองอยู่ หากพวกเขามีท่าทีอ่อนล้าเมื่อใด คงต้องเป็นอันเสียท่าให้กับชายผู้นี้เป็นแน่ ฉะนั้นแล้วพวกเขาจึงต้องการที่จะเก็บแรงเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาจะมิยอมให้ เหยียนชือหลิง ใช้ประโยชน์จากการต่อสู้ของพวกเขาในครั้งนี้ได้ และทางออกที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาคือต้องเอาชนะ เย่ฟง และ จางซุนยวี้หยิน ให้เร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้ เพื่อเตรียมพร้อมในการเผชิญหน้ากับ เหยียนชือหลิง

พวกเขาทั้ง 3 คนต่างมีความสนใจต่อ[ขลุ่ยมนต์ตรา]

การต่อสู้ของพวกเขาทั้ง 5 อาจกล่าวได้ว่าช่างงดงามและรุนแรงไปทางเดียวกัน พวกเขาแต่ละคนต่างครอบครองเคล็ดวิชาที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งการต่อสู้ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือดและสร้างแรงกดดันไปทั่วทั้งสมรภูมิรบ แม้กระทั่งพื้นดินที่พวกเขายึดมั่นก็ยังสั่นไหวด้วยผลกระทบจากการต่อสู้ของพวกเขา
แม้แต่ศิษย์คนอื่น ๆ เองก็ยังมีการต่อสู้ในแบบของตนและดุเดือดไม่น้อยหน้าไปกว่าเหล่าศิษย์ชั้นนำทั้ง 5 แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่พวกเขาก็ยังคงมีความเชื่อมั่นในตนและต่อสู้กันอย่างเต็มความสามารถ หากแต่ในความเป็นจริงแล้วผลกระทบจากการต่อสู้กันของศิษย์ชั้นนำทั้ง 5 นั้นมันได้ส่งผลเป็นอันตรายถึงชีวิตแก่ศิษย์ที่อยู่เพียงแค่[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อตั้ง ]ทุกคน

          “ บัดซบไอ้พวก[สำนักปิงเต่า] พวกเจ้ามันไร้ยางอาย! ” เฉียนเหวิ่นลู้ ขบฟันตะโกนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โกรธแค้น นางพึ่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] และมิได้มีเวลามากนักในการศึกษาพลังรูปแบบใหม่ของนาง “ พวกเจ้ากล้าที่จะร่วมมือกับบุคคลภายนอก เพื่อมาจัดการพวกเรา! ”

คำว่าบุคคลภายนอกที่ เฉียนเหวิ่นลู้ กล่าวออกมานั้น คือเหล่าศิษย์ผู้ที่มีขุมกำลังอำนาจเป็นของตนเองและมาจากสำนักอื่นหรือตระกูลอื่นที่มีชื่อเสียงที่มิได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับสำนักย่อย

ด้วยความยิ่งใหญ่ของสำนักหลัก เหล่าสำนักย่อยในแต่ละสาขาจะทำการทะนุถนอมเหล่าศิษย์ที่แข็งแกร่งของตนและส่งพวกเขาไปยังสำนักหลัก ซึ่งหากเทียบศิษย์จากขุมพลังอำนาจภายนอกแล้ว ศิษย์จากสำนักย่อยจะมีภูมิฐานที่ดีกว่ามาก พวกเขาเปรียบเสมือนเป็นดั่งเมล็ดพันที่รอคอยการแตกหน่อภายในสำนักหลัก

โดยทั่วไประหว่างการทดสอบการประเมินเมื่อปีที่ผ่านมา เหล่าศิษย์ภายนอกจะรวบรวมเหล่าศิษย์ภายนอกด้วยกันให้กลายเป็นกลุ่มชนขนาดใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากศิษย์สำนักย่อยอื่น ๆ ที่แยกตัวกันออกไปตามกลุ่มของตนเอง

นอกจากนี้แม้ว่าเหล่าศิษย์สำนักย่อยด้วยกันจะถูกมองว่าเป็นคู่แข่ง หากแต่เมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์ภายนอกแล้วพวกเขาแลดูเป็นมิตรกันมากกว่าที่เห็น

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใด เฉียนเหวิ่นลู้ ถึงได้ว่ากล่าว [สำนักย่อยปิงเต่า]ที่ไปร่วมมือกับเหล่าศิษย์ภายนอก

แต่ในเวลานี้ไม่ว่าพวกเขาจะเรียกร้องสิ่งใดมันก็ไร้ประโยชน์

พวกเขาเหล่าศิษย์ต่างมิได้คาดคิดว่าตนจะได้เป็นส่วนหนึ่งของการล่าสมบัติในครั้งนี้ แต่แล้วข่าวคาวมันก็ได้รั่วไหลออกไปจนมันได้ดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วน

          “ ฆ่าไอ้พวกมันเหล่านี้ทุกคน แสดงให้พวกมันเห็นว่าพวกมันล้ำเส้นพวกเรามากเกินไป! ” หวู่เฮ้า ร้องคำรามลั่น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่มีจำนวนมากกว่าพวกเขาย่อมหวั่นเกรงอย่างแน่นอนในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ทว่าในสถานที่แห่งนี้นั้นมิใช่ ในโลกไร้ความตายเฉกเช่น[ ดินแดนภูตปีศาจมายา ]พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวตาย อย่างมากพวกเขาก็แค่ถูกส่งกลับออกไปยังโลกแห่งความเป็นจริง ฉะนั้นแล้วมีหรือที่พวกเขาจะยอมแพ้ไปโดยง่าย

          “ ใช่ฆ่าพวกมันให้หมดแม้ว่าพวกมันจะร่วมมือกับเหล่าขุมกำลังภายนอก แต่นั่นก็มิอาจที่จะทำลายจิตวิญญาณของพวกเราได้! ” เหล่าศิษย์[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]ต่างร้องคำรามลั่น ออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

แม้แต่ศิษย์จาก[สำนักย่อยยวี้นวี้]เอง ในขณะนี้ก็ยังร้องคำรามออกมาด้วยเช่นกัน แม้ว่าพวกนางจะเป็นอิสตรีผู้เลอโฉมและงดงามหาที่ใดเปรียบ หากแต่พวกนางก็ยังคงเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดภายในสำนักของตน ซึ่งแม้ว่าจะเข้ามายังภายในสำนักหลักก็ยังไม่มีผู้ฝึกยุทธคนไหนกล้าที่จะดูหมิ่นพวกนางเลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นขวัญกำลังใจของศิษย์จาก[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]และศิษย์จาก[สำนักย่อยยวี้นวี้]ต่างก็เพิ่มขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมื่อพวกเขาได้ตระหนักว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้แม้เลวร้ายที่สุดพวกเขาก็ยังคงมิได้ตาย แต่เพียงแค่ถูกส่งกลับออกไปยังโลกแห่งความเป็นจริงเท่านั้น และอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ได้ผ่านแล้วสำหรับการประเมินในครั้งนี้ ซึ่งเป้าหมายของพวกเขามีเพียงแค่การเข้าร่วมกับ 1 ใน 10 ยอดหุบเขาเชื้อสายของสำนักหลัก และการที่พวกเขาได้แสดงความแข็งแกร่งสูงสุดของตนออกมาก็เป็นการดึงดูดความสนใจต่อเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักหลักได้เป็นอย่างดี แม้ว่าสำหรับศิษย์ที่แข็งแกร่งบางคนต้องประสบเจอกับความโชคร้าย เมื่อพวกเขาเหล่านั้นต้องเผชิญหน้ากับเหล่า[ปีศาจมายา]ที่แข็งแกร่งและถูกส่งกลับออกมาอย่างฉับพลัน พวกเขาก็ยังคงมีโอกาสที่จะได้ถูกรับเลือกโดยเหล่าบุคคลระดับสูงของสำนักหลักอยู่ดี

แม้ว่าการทดสอบการประเมินจะจำกัดเวลาไว้ที่ 1 เดือน หากแต่พวกเขายังคงถูกจับตามองตลอดเวลาและมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะถูกประเมินจนเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าแม้ว่าพวกเขาจะตกตายในตอนนี้ไปมันก็มิได้มีผลกระทบใดต่อการประเมินเลยแม้แต่นิดเดียว

          “ ในเมื่อพวกเจ้าต้องการที่จะตาย ข้าจะจัดให้สมพรปากของพวกเจ้า! ” ชายหนุ่มชุดคลุมสีเหลือง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและเข้มขรึม

หากเขาได้ตัดสินใจที่จะฆ่าศิษย์จาก[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]และศิษย์จาก[สำนักย่อยยวี้นวี้] มีหรือที่ใครจะสามารถหยุดเขาได้

ชายประหลาดในชุดคลุมสีเหลืองได้พุ่งตรงเข้าหา เย่ฟง และร่วมมือกับชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงเข้าประกบหน้าหลังของเขา ซึ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของ 2 ผู้เชี่ยวชาญมันทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและเสียงเปรียบ

จางซุนยวี้หยิน ชำเลืองมองไปที่ เย่ฟง ที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย พร้อมขบฟันของนางและว่ากล่าว “ ในเมื่อเจ้าต้องการที่จะครองครอง[ขลุ่ยมนต์ตรา]นี่ ก็จงข้ามศพของพวกข้าไปเสียเจ้าถึงจะได้มัน! ”

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเหลืองหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ ดีในเมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น งั้นก็ตายเสีย! ”

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเหลือง ได้ระเบิดพลังปราณของตนออกมา ซึ่งมันได้สร้างแรงกดดันขึ้นภายในชั้นบรรยากาศ จนอาจกล่าวได้ว่ามันเป็นพลังอาจที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก

ซึ่งในขณะเดียวกัน เย่ฟง ก็ได้เผยให้เห็นช่องโหว่ของเขา ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงจึงได้ถือโอกาสแสดงเคล็ดวิชาลูกเตะอสนีบาตเหวี่ยงเข้าไปที่จุดนั้นในทันที

แต่ทว่าในขณะนั้นเอง ใบมีดประกายแสง ก็ได้พุ่งมาจากสถานที่อันห่างไกลโดยไม่ทราบทิศทาง อีกทั้งมันยังได้พุ่งตรงเข้าไปยังชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วง

#########################################################
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

B1 : What…?? มันคืออะไร ห่วงขลุ่ยมากกว่าสามี
B2 : บ้ามันยังไม่ได้กันสะหน่อย
B1 : ใครจะรู้
B3 : บางทีมันอาจไปจุ่มดู๋กันมาแล้วก็ได้
B4 : พวก[ม.]นี่ก็ทำนิยายเขาเสียหมด
B3 : เสียตรงไหน…
B1,B2 : ใช่มันเสียตรงไหน??
B4 : ก็เสียตรงที่มีพวก[ม.]นี่ไง
B1,B2,B3 : ถ้ามันไม่มีพวก[ก.]มันก็จะไม่มี[ม.]ในวันนี้ !!!
B4 : เออจริง…งั้นพวก[ม.]ถูกก็ได้
#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

4 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม