บทที่ 102 - การประเมินสิ้นสุด

แม้ว่าในช่วงเวลาที่ เย่ชีเหวิน อยู่ใน[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง] เขาก็ยังคงรู้ว่า[ ผลไม้โลหิตหยวน ]นั้นมีค่ามากแค่ไหนสำหรับผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ] เพราะหากมิเป็นเช่นนั้นแล้วผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากคงมิต้องการมันมากถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะเหล่าผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นที่ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ที่มีอยู่นับพันนับหมื่นคนภายในสำนักหลัก พวกเขาส่วนใหญ่มักติดอยู่ที่คอขวดและไม่สามารถก้าวผ่านไปยังระดับขั้นต่อไปได้ และ[ ผลไม้โลหิตหยวน ]ก็เป็นสมบัติที่ล้ำค่าหาที่สุดมิได้ในสายตาของพวกเขา
          
นับจากที่เขาได้รับ[ ผลไม้โลหิตหยวน ] เย่ชีเหวิน ก็ได้ตั้งใจที่จะใช้มันก้าวข้ามจาก[ ระดับขั้นที่ 8 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ไปยัง[ ระดับขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ซึ่งนับได้ว่าเป็นการก้าวข้ามผ่านระดับที่ยากลำบากที่สุด หากเขามิมี[ ผลไม้โลหิตหยวน ]เขาจำเป็นที่จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการบุกฝ่ามัน
          
มีหลายคนที่ไม่สามารถก้าวไปถึง[ ระดับขั้นที่ 7 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] หรือแม้แต่ [ ระดับขั้นที่ 8 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]แม้ว่าพวกเขาจะฝึกฝนมาตลอดชีวิตของพวกเขาก็ตาม พวกเขาส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่ใน[ ระดับขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ด้วยอุปสรรค์ดินแดนขนาดใหญ่ และผู้เชี่ยวชาญที่สามารถก้าวผ่านดินแดนขนาดใหญ่ไปยัง[ ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ได้แล้วนั้นพวกเขาจะถูกพิจารณาเป็นบุคคลระดับกลางของสำนักหลักยี่หยวน และส่วนผู้เชี่ยวชาญที่ไร้ความสามารถซึ่งไม่สามารถก้าวข้ามมันมาได้ในระยะเวลากำหนดพวกเขาจะถูกส่งไปยังเหล่าสำนักย่อยเพื่อกลายเป็นผู้อาวุโส แต่สำหรับส่วนผู้เชี่ยวชาญที่สามารถก้าวผ่านมันไปได้พวกเขาจะถูกรับเลือกให้เข้าสู่ฝ่ายหลักและเริ่มจากสถานะต่ำสุด
          
แม้ว่า เย่ฟง จะใช้[ ผลไม้โลหิตหยวน ]ในยามที่ตนอยู่[ ระดับขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]และก้าวผ่านมันไปยัง[ ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ก็ยังนับว่าคุ้มค่า หากแต่การที่เขาใช้มันตั้งแต่[ ระดับขั้นแรกดินแดนลมปราณก่อเกิด ]นั้น มันเป็นเฉกเช่นเดียวกับการกระทำของบุคคลที่โง่เขลา
          
ต่อมา เย่ชีเหวิน ก็ทราบเรื่องราวทั้งหมดจากศิษย์[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากที่เขาได้แยกตัวออกไป เย่ฟง และเหล่าศิษย์จาก[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]ก็ได้พบกับกลุ่มศิษย์[สำนักย่อยยวี้นวี้] นางได้เข้าช่วยเหล่าพวกเขาในการจัดการกับ[ปีศาจมายา] หลังจากนั้นพวกเขาทั้ง 2 ก็ได้เข้าร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายเดียวกัน แต่แล้วพวกเขาก็ได้ค้นพบกับสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเขาได้พบกับ[ปีศาจมายา][ ระดับขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ที่มีกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัวและดูเหมือนว่ามันจะมีสติปัญญาในขณะที่สถานที่ไม่ห่างไกลจากตัวมันมากนักก็ได้มีโลงศพอยู่ด้วยกันหนึ่ง
          
ซึ่งหลังจากที่พวกเขาได้หารือกัน พวกเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับพวกมัน เพียงเพราะพวกเขาต้องการที่จะรู้ว่ามันมีสิ่งใดอยู่ภายในโลงนั่น และผลที่ออกมามันก็เป็นไปตามดั่งที่พวกเขาคาด พวกเขาสามารถจัดการพวกมันลงได้และสิ่งที่อยู่ภายในโล่งนั่นก็คือ[ ขลุ่ยมนต์ตรา ]ที่พวกเขาได้รับ ซึ่งมันคือศาสตราวุธประเภทการโจมตีทางจิตวิญญาณระดับต่ำ แต่ถึงแม้ว่ามันจะอยู่เพียงแค่ระดับต่ำ หากแต่สำหรับเหล่าผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ที่ได้ก้าวเข้าสู่[ ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]และได้ผันแปร[ พลังปราณก่อเกิด ]ให้กลายเป็น[ พลังปราณหยวนก่อเกิด ] มันจะทำให้ศาสตราวุธประเภทการโจมตีทางจิตวิญญาณอย่าง[ ขลุ่ยมนต์ตรา ]มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นนับหลายเท่า จึงเป็นเหตุผลว่าทำให้ข่าวของมันถึงได้รั่วไหลออกไปและดึงดูดสุดยอดเหล่าผู้เชี่ยวชาญอย่าง เซี่ยงกัวเซวียนยี้ เหยียนชือหลิง หรือแม้แต่สุดยอดผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ มาเป็นจำนวนมาก
          
เย่ชีเหวิน เหลือบมองไปยัง[ ขลุ่ยมนต์ตรา ]ที่เหน็บอยู่ข้างเอวของ จางซุนยวี้หยิน ใบหน้าของเขาส่ายไปมาพร้อมถอดถอนหายใจ สิ่งที่เขาไม่สามารถเข้าใจคือเหตุใดพี่ชายของเขาถึงได้ตกหลุมรัก จางซุนยวี้หยิน ได้กัน อีกทั้งยังมอบ[ ขลุ่ยมนต์ตรา ]ที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าให้แก่นางเช่นนี้อีก แม้ว่ามันจะเป็นเพียงศาสตราวุธที่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อการบ่มเพาะพลังของผู้ที่ใช้มันได้อยู่ในระดับที่สูงกว่า[ ระดับขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ไปแล้ว หากแต่มันก็ยังคงเป็นศาสตราวุธประเภทการโจมตีทางจิตวิญญาณซึ่งนับได้ว่าเป็นศาสตราวุธชั้นเลิศที่หาได้ยากยิ่ง แม้แต่ภายในสำนักหลักเองก็ยังมีน้อยกว่า 10% ที่จะมีมัน
          
ศาสตราวุธประเภทการโจมตีทางจิตวิญญาณถือได้ว่าเป็นศาสตราวุธที่มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพเหลือล้น แต่ เย่ฟง กลับไม่รู้สึกเสียดายมันเลยแม้แต่น้อยที่เขาได้มอบมันให้แก่นาง แต่สิ่งที่ เย่ชีเหวิน รู้สึกเสียดายมากที่สุดนั้นหาใช่[ ขลุ่ยมนต์ตรา ]ไม่ หากแต่มันคือ[ ผลไม้โลหิตหยวน ]ที่เขาได้กลั่นมันไปแล้วเสียมากกว่า และแน่นอนว่าเขากลั่นมันนั่นก็เพื่อนางด้วยเช่นกัน
          
แต่เริ่ม เย่ฟง นั่นอยู่ใน[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 1 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] ซึ่งแม้ว่าเขาจะพยายามบุกฝ่าไปยังระดับขั้นต่อไปเขาก็ยังคงเป็นเพียงแค่[ ระดับขั้นที่ 2 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] ในขณะที่ จางซุนยวี้หยิน นั้นอยู่ใน[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 3 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้เลือกที่จะกลั่น[ ผลไม้โลหิตหยวน ]นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการที่จะเป็นกำลังให้แก่นาง และเมื่อเขาสามารถก้าวผ่านไปยัง[ ระดับขั้นที่ 4 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] เขาก็จะสามารถยืนเคียงข้าง จางซุนยวี้หยิน ได้อย่างภาคภูมิ
          
ซึ่งเมื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้เหล่าศิษย์[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]ต่างตระหนักดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และพวกเขาก็มิได้ต้องการที่จะออกความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับ[ ขลุ่ยมนต์ตรา ]ที่อยู่ในการครอบครองของ จางซุนยวี้หยิน
          
เย่ชีเหวิน ถอดถอนหายใจและไม่ต้องการที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะการชอบพอหรือการเข้าเรือนหอนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์มิสามารถหลีกเหลี่ยงได้ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากจะพยายามหลีกเหลี่ยงมันก็ตาม เพราะว่าพวกเขาไม่ต้องการสิ่งใดให้มารบกวนการบ่มเพาะพลังของตน และสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่สามารถระงับสัญชาตญาณของตนและห่างไกลจากโลกได้พวกเขาจะได้รับชีวิตที่เป็นอมตะ หากแต่นั่นก็ยังคงเป็นเพียงแค่ตำนานและเรื่องเล่าเท่านั้น
          
ในโลกนี้มีเหล่าวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งพวกเขามิสามารถรู้ได้ว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีร่างกายที่ไม่ดับสูญหรือมีชีวิตที่เป็นอมตะหรือไม่!
          
แต่ทว่านั่นก็ยังเป็นเรื่องของอนาคตซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ได้ แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของ จางซุนยวี้หยิน ว่านางนั้นคิดเช่นไร
          
แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมิสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของ จางซุนยวี้หยิน ได้อย่างชัดเจน หากแต่เมื่อมองไปยัง เย่ฟง แล้วพวกเขากลับสามารถรับรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าเขานั้นชอบนาง เพราะว่าใบหน้าของเขานั้นมันได้แสดงอาการออกมาทุกครั้งเวลาที่เขานั้นมองหน้านาง ซึ่งดูเหมือนว่านางก็มิได้แสดงท่าทีรังเกลียดใด ๆ เย่ชีเหวิน จึงถือโอกาสแนะนำเทคนิคบางอย่างให้กลับพี่ชายของเขา หลังจากก่อนที่เขาจะมายังโลกใบนี้เขาก็ได้สอบถามถึงวิธีการจีบสาวจากมิตรสหายในโลกก่อนมาอยู่เล็กน้อย ซึ่งแม้ว่ามันจะมิได้มีอะไรที่มากมายนักหากแต่เขามั่นใจว่ามันจะสร้างความประทับใจให้กับเหล่าอิสตรีอยู่ไม่น้อย อีกทั้งเทคนิคเหล่านี้ยังสามารถใช้ได้ทุกทีทุกเวลา
          
ในใจของ เย่ชีเหวิน ต่างมีความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามา แต่ทว่าเขาก็มิได้แสดงมันออกมาทางสีหน้าของเขา เพียงแต่เขาได้เหลือบมองไปยังกลุ่มศิษย์[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]และพบว่ามีมากกว่า 10 คนที่ได้ตายจากไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสำหรับคนที่อยู่รอดพวกเขาจะกลายเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งขึ้น มีหลายคนที่ได้อยู่เส้นกึ่งกลางระหว่างขั้น[ ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] ซึ่งนอกเหนือไปจากผู้นำที่แข็งแกร่งอย่าง เย่ฟง แล้ว จางหยาง เองก็ยังได้ก้าวขึ้นมาแล้วใน[ ระดับขั้นที่ 2 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]อีกทั้งยังผันแปร[ พลังปราณก่อเกิด ]ไปแล้วกว่า 30% ด้วยอัตราความก้าวหน้าที่รวดเร็วเช่นนี้เขามีความมั่นใจว่าในไม่ช้านี้เขาจะสามารถผันแปร[ พลังปราณก่อเกิด ]ได้ถึง 40% และก้าวเข้าสู่[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 2 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]
          
นอกจากนี้ หวู่เฮ้า และ เฉียนเหวิ่นลู้ ก็ยังได้ก้าวขึ้นมาแล้วเป็นผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ]และผันแปร[ พลังปราณก่อเกิด ]ของตนไปแล้วกว่า 10% แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้น เย่หรูเชว่ เองก็มีความก้าวหน้าที่รวดเร็วเพียงแค่ในช่วงระยะเวลาสั่น ๆ นางก็ได้มาถึงแล้วใน[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 1 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]และมีการผันแปร[ พลังปราณก่อเกิด ]ไปแล้วกว่า 20%
          
ซึ่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา พวกเขาเองต่างก็ได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างเหลือล้น จนกลายเป็นที่ประจักต่อสายตาของ เย่ชีเหวิน ซึ่งมันทำให้เขาต้องถึงกับพยักหน้าด้วยความรู้สึกที่อิ่มเอมใจในพรสรรค์ของพวกเขา หากความก้าวหน้าของพวกเขายังคงอยู่ในระดับเช่นนี้ต่อไป ภายใต้ความแข็งแกร่งของเขามันจะสร้างชื่อเสียงให้กับ[สำนำย่อยหุบเขาฉิงฟง]ไม่น้อย ซึ่งนอกจากนี้มันยังมีความเป็นไปได้ที่ชื่อเสียงของพวกเขาอาจเทียบเคียงได้กับ 3 สำนักย่อยชั้นนำก็เป็นได้ นอกจากนี้หากภายในกลุ่มยังมีคนมุ่งมันที่จะแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็จะกลายเป็นแรงผลักดันให้กับศิษย์ที่อ่อนแอบางคนให้มีกำลังใจที่จะฮึดสู้ ซึ่งเมื่อหากเป็นเช่นนั้นกลุ่มศิษย์ของพวกเขาจะมีกำลังใจในการพัฒนาความแข็งแกร่งของตนอย่างต่อเนื่องและพัฒนาการของพวกเขาจะไม่มีจุดสิ้นสุด
          
และแล้วช่วงเวลาสุดท้ายของการประเมินก็ได้มาถึง ซึ่งมันก็ได้เวลาแล้วสำหรับเหล่าศิษย์ทุกคนที่จะได้รู้ว่าตนนั้นจะได้ไปยังยอดหุบเขาลูกใด!
          
#########################################################

เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ
          
B1 : เอาว่ะความเป็นอมตะก็มา
B2 : นั่นมันก็แค่เรื่องเล่า
B1 : หืยนิยายอย่างนี้เรื่องลงเรื่องเล่าไรไม่มีหรอก นี่มันเรื่องจริงทั้งนั้น เชื่อ[ก.]ดิ
B3 : แหม่ ให้ตัวร้ายอย่างพวก[ก.]ได้มีที่ยืนกันบ้างเถอะ
B4 : บทนี้นี่ผักเน้น ๆ เลย
B1 : ได้ข่าวแวว ๆ มาว่าอีกไม่กี่บทก็บู้แล้วนิ
B3 : แหม่เดียวตัวร้ายอย่างพวก[ก.]แม้งก็แพ้อีกอะ
B4 : อ่าว B3 นี่นายยอมแพ้แล้ว??
B3 : ป่าวแค่ช่วงนี้[ก.]ปลง!!!

#########################################################
…..####เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน####…..


7 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม