บทที่ 104 - ศิษย์ผู้อาวุโสล้ำเส้น

          “ ถ้าข้าคิดไม่ผิดในเร็ว ๆ นี้พวกเขาสมควรที่จะมาหาท่าน เพื่อขอให้ท่านเข้าร่วมกับพวกเขา แล้วท่านจะยินดีเข้าร่วมกับพวกเขาหรือไม่? ” เหยียนชือหลิง กล่าวถาม
       
เมื่อ เย่ชีเหวิน มิได้สนใจที่จะก่อตั้งหรือเข้าร่วมพรรดใด แล้วเหตุใดเขาถึงต้องไปเข้าร่วมกับพรรคศิษย์ที่แท้จริง แต่หากปฏิเสธคำเชิญชวนของพวกเขานั่นก็มิใช่สิ่งที่ดีนัก เพราะมันอาจสร้างความแคลงใจและกลายเป็นปัญหากับเขาได้ในอนาคต
       
โดยเฉพาะศิษย์ที่แท้จริงที่หยิ่งผยองและมั่นในศักดิ์ศรีของตน หากถูกปฏิเสธโดยศิษย์ใหม่มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะกระทำการโต้ตอบในทันที!
       
เมื่อเห็นลักษณะที่เงียบขรึมของ เย่ชีเหวิน เหยียนชือหลิง ก็อดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มอย่างขมขื่น การกลายเป็นผู้นำของพรรคในยามนี้นั้นอาจมิใช่เรื่องที่ดีนัก แม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำหากแต่สมาชิกภายในยังคงอ่อนแอ และมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะถูกแย่งสมาชิกภายในพรรคจากพรรคอื่น ซึ่งหากพวกเขาต่อต้านก็จะต้องเผชิญหน้ากับพรรคที่แข็งแกร่งกว่า อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่พรรคเหล่านั้นจะร่วมมือกันระหว่างพรรคเพื่อโค่นล้มพวกเขา
       
นอกจากนี้เหล่าศิษย์ที่ได้เข้ามาใหม่ พวกเขาเองต่างก็เป็นศิษย์ชั้นนำจากสำนักย่อยของตน หากแต่ในจำนวน 200 คน มีเพียงแค่ 20% เท่านั้นที่จะกล่าวได้ว่าเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงและเป็นถึงสุดยอดผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ในหมู่ของตน และอีก 80% ที่เป็นเพียงแค่ศิษย์[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อตั้ง ] ซึ่งถูกจัดอยู่ในหมู่ของศิษย์ฝ่ายนอกที่มีสถานะต่ำต่อย และมีดีเพียงแค่อยู่สูงกว่าเหล่าศิษย์ที่ใช้แรงงานเท่านั้น
       
นานมาแล้วได้เคยมีศิษย์ใหม่ที่โดดเด่นที่สุดผู้หนึ่ง พยายามที่จะก่อตั้งพรรคเป็นของตนเองจนได้มีปากเสียงกับเหล่าศิษย์ผู้อาวุโส และในเวลาไม่นานพรรคของเขาก็ได้ถูกยุบลงโดยการร่วมมือของเหล่าศิษย์ผู้อาวุโส
       
เย่ชีเหวิน ถอดถอนหายใจ ด้วยความรู้สึกภายในใจของเขาที่ไม่เคยต้องการที่จะเข้าร่วมกับพรรคใด เพราะการเข้าร่วมพรรคมันจะทำให้เขาต้องพบหน้ากับเหล่าผู้คนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันจะทำลายช่วงเวลาของเขา จนในท้ายที่สุดความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขานั้นมันก็จะถดถอยลง ภายในสำนักหลักนั้นได้มีการแข่งขันอยู่มากมาย แต่เพื่อที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเขาอย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่ต้องการที่จะเสียเวลาใด ๆ ให้กับการแข่งขันเหล่านี้
       
เย่ชีเหวิน ได้กลับเข้าไปยังลานพักของเขาอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่ศิษย์ใหม่ทั้งหมดต่างถูกรับเลือกให้เข้าพักยังลานพักเล็ก ๆ ซึ่งถูกล้อมลอบไปด้วยสวนดอกไม้ที่เหมาะสมแก่การใช้ชีวิตและบ่มเพาะพลัง ถ้าวันใดที่พวกเขาได้กลายเป็นศิษย์หลักพวกเขาจะมีอิสระในการใช้พื้นที่ของพระราชวังด้านบนสุดของยอดเขา และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงพวกเขาจะมียอดหุบเขาเป็นของตนเอง
       
ยิ่งพวกเขาแข็งแกร่งมากเท่าใดสถานที่การดำรงอยู่และสถานะของพวกเขาก็จะดีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
       
เย่ชีเหวิน เข้ามายังภายในลานที่พักของตน ซึ่งเหล่าศิษย์สามารถไปมาได้อย่างอิสระภายในลานเล็ก ๆ แห่งนี้ อีกทั้งที่นี่ยังมีสวนดอกไม้สายน้ำลำธารและศาลาดั่งเช่นสวนธรรมดาทั่วไป หากแต่ที่แตกต่างคือภายในพื้นที่บริเวณลานนี้ทั้งหมดได้ถูกฝังไว้ด้วย[ เส้นชีพจรจิตวิญญาณ ]ซึ่งก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และกระแสพลังปราณมากมาย หากมองดูจากระยะไกลพวกเขาจะเห็นได้ถึงกระแสพลังปราณอันไร้ขีดจำกัดที่หนาแน่นปกคลุมไปทั่วพื้นที่บริเวณลานแห่งนี้ ราวเหมือนกับว่ามันได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่และไม่มีท่าทีว่าจะจางหายไป
       
กระแสพลังปราณมากมายต่างหลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นค่ายกลที่ทำหน้าที่คอยปกป้องสถานที่แห่งนี้ และการที่พลังปราณเข้มข้นขนาดนี้จะสามารถอยู่ในสภาพค่ายกลที่เสถียนได้พวกเขาจำเป็นที่จะต้องสลักอักขระลงไปที่พื้น และผู้ที่จะกระทำการเช่นนี้ได้มั่นเหมาะที่จะเป็นเจ้าของยอดหุบเขาแห่งนี้
       
          “ มิน่าแปลกใจที่ไม่ว่าใครก็ต้องการเข้าสู่สำนักหลัก ด้วยสภาพแวดล้อมที่นี่มันดีกว่าสำนักย่อยถึง 100 เท่า! ” เย่ชีเหวิน กล่าวออกมาพร้อมถอดถอนหายใจ
       
สถานที่ภายในสำนักหลักยี่หยวนนั้นเปรียบได้เหมือนดั่งสวรรค์ อีกทั้งความหลากหลายของทรัพยากรก็ยังมีมากมายมหาศาล ซึ่งในเร็ว ๆ นี้พวกเขาสมควรที่จะมีพัฒนาการและความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขาอยู่ภายในสำนักย่อย ซึ่งด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้มันจะทำให้เขามีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้นเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถจินตนาการได้
       
แม้ว่าศิษย์ฝ่ายนอกจะได้รับอนุญาตให้เข้าพักได้ 1 ห้องต่อ 1 คน หากแต่ภายในห้องเหล่านี้ถูกอัดแน่นไปด้วยพลังปราณต่าง ๆ มากมาย แม้ว่าภายในห้องจะมีขนาดเล็กหากแต่เครื่องมือนั้นครบครัน
       
ในเวลานี้ เย่ชีเหวิน ได้เดินเข้าไปยังห้องโถงวิหารบุญบนยอดสูงสุดของ[ หุบเขา เสียดนภา ]เพื่อรับรางวัลศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดภายในปีนี้ กว่า 5,000 [ ศิลาวิญญาณระดับกลาง ]ที่เขาได้รับจาก[ ยอดหุบเขา เสียดนภา ]บวกกับของเดิมที่มีอยู่ ทำให้ที่ตัวเขาในตอนนี้มี[ ศิลาวิญญาณระดับกลาง ]อยู่ถึง 7,000 ก้อน
       
ดูเหมือนว่ากฎทั้งหมดภายในสำนักจะเอนเอียงไปทางผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ ซึ่งเหล่าศิษย์ที่มีความสามารถและมากไปด้วยพรสวรรค์พวกเขาจะได้รับทรัพยากรที่ดีที่สุดของสำนัก อีกทั้งมันจะยิ่งเพิ่มประมาณมากขึ้นตามความแข็งแกร่งของพวกเขา
       
และนอกเหนือไปจากศิลาวิญญาณแล้ว เขายังได้รับสมุนไพรคุณภาพสูงมากมายที่ช่วยในการฟื้นฟูพลังปราณ และ ฯลฯ แต่ทว่าสิ่งที่ เย่ชีเหวิน นั้นรู้สึกดีใจมากที่สุดนั่นก็คือการที่เขาได้รับ[ หยวนจินตัน ] ประสิทธิภาพและผลกระทบของมันนั้นคลายคลึงกันกับ[ ผลไม้โลหิตหยวน ] แต่ด้อยกว่าเล็กน้อยตรงที่ผลของการทำงานของมันนั้นมีระยะสั้นอีกทั้งมันยังใช้ได้เพียงแค่สำหรับผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]หรือต่ำกว่าเท่านั้น นอกจากนี้ เย่ชีเหวิน ยังรู้มาอีกว่านอกจากเขาแล้วก็ยังมี เหยียนชือหลิง ที่ได้รับมันไปด้วยเช่นกัน มีเพียงแค่พวกเขา 2 คนเท่านั้นที่ได้รับ ซึ่ง เย่ชีเหวิน เชื่อว่าสำนักยี่หยวนนั้นจะให้ทรัพยากรที่มีคุณภาพให้กับเหล่าศิษย์อัจฉริยะที่มากไปด้วยพรสวรรค์เท่านั้น เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนและบงบอกอย่างชัดเจนว่ากลุ่มศิษย์เหล่านี้นั้นแต่ต่างจากเหล่าศิษย์ธรรมดาสามัญ
       
นอกจากนี้มันยังได้มีชุดผ้าไหมบางชุดที่ได้ทำมาจากจั๊กจั่นน้ำแข็ง ซึ่งมันจะทำให้บุคคลที่สวนใส่มันรู้สึกอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว และรู้สึกเย็นในช่วงฤดูร้อน นอกจากนี้ความทนทานและการป้อนกันยังถือได้ว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก ซึ่งมันแทบจะสามารถป้องกันการโจมตีจากศาสตราวุธได้ทุกชนิด อีกทั้งมันยังมีความคล้ายคลึงกับเกราะจักจั่นของ เย่ชีเหวิน เป็นอย่างมาก ซึ่งมันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าภายในสำนักหลักนี้มันได้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรมากแค่ไหน
       
นอกจากนี้ทุกชนิดของศาสตราวุธและเครื่องป้องกัน ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งที่มากมายมหาศาลของสำนักยี่หยวนได้อย่างชัดเจน
       
อนึ่งอาจกล่าวได้ว่าการเข้าร่วมกับสำนักหลักยี่หยวนนั้นหาใช่จุดปลายทางในชีวิตไม่ หากแต่มันคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งต่างหาก
       
เย่ชีเหวิน ได้พยายามเลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และหมายมั่นที่จะเก็บตัวเพื่อฝึกฝน หากแต่ในเวลานั้นเองก็ได้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ซึ่งเสียงได้ก้าวมาอย่างรวดเร็วและหยุดลงตรงหน้าประตูพร้อมมีเสียงตระโกนดังขึ้น “ ศิษย์พี่เย่ ศิษย์พี่เย่! ”
       
          “ เข้ามา! ” เย่ชีเหวิน คลายพลังปราณออก ซึ่งนับตั้งแต่ที่เขาได้เข้ามายังภายใน เขาก็ได้ใช้พลังปราณของตนปิดกันทางเข้าออกไปเอาไว้ หากเขามิได้คลายมันก็ไม่มีใครหน้าไหนสามารถเข้ามายังภายในได้ทั้งนั้น แม้ว่ามันผู้นั้นจะใช้พลังปราณของตนโจมตีเข้ามาก็ตาม
       
เหล่าศิษย์ต่างกรูกันเข้ามา ด้วยใบหน้าและรูปร่างของพวกเขามั่นเหมาะที่จะมีอายุราวประมาณ 20 ปี พวกเขาได้เข้ามายังให้ห้องและจับจ้องไปที่ เย่ชีเหวิน ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลราวเหมือนกับมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา
       
          “ มีเรื่องอันใด? ” เย่ชีเหวิน กล่าวถาม
       
พวกเขาทั้ง 2 ต่างเป็น 1 ในศิษย์จาก[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง] ซึ่งการที่พวกเขามาอยู่ที่นี่นั่นก็หมายความว่า พวกเขาได้ถูกรับเลือกให้เข้าร่วมกับ[ ยอดหุบเขา เสียดนภา ]เช่นเดียวกับ เย่ชีเหวิน
       
          “ บรรดาศิษย์ผู้อาวุโสล้ำเส้นมากเกินไป! พวกเขาร่วมมือกันเพื่อที่จะกำราบพวกเรา! ” ศิษย์กล่าว “ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้มีศิษย์ผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งพยายามที่จะดึงคนไปจากพรรคของพวกเรา หากแต่พวกเราได้ตัดสินใจแล้วที่จะเข้าร่วมพรรคกับศิษย์พี่เหยียน แต่บรรดาศิษย์ผู้อาวุโสกับมิยอมลามือ พวกเขาได้ขู่เข็ญให้พวกเรายอมจำนนพร้อมส่งทรัพยากรรายเดือนให้กับพวกเขาทุกเดือนเพื่อเป็นการคุ้มครอง หากมิยอมทำตามพวกเขาจะกลั่นแกล้งพวกเราทุกวันนับจากนี้! ”
       
เย่ชีเหวิน ขมวดคิ้ว แน่นอนว่าศิษย์ผู้อาวุโสเหล่านี้ได้ล้ำเส้นของพวกเขามากเกินไป แต่หากคิดในอีกแง่มุมหนึ่งทุก ๆ 3 ปีจะมีการทดสอบการประเมินขึ้น ซึ่งทุก ๆ 3 ปีก็จะมีเหล่าศิษย์ใหม่จำนวนมากมายที่หลั่งไหลเข้ามา แล้วเมื่อยามที่พวกเขาต้องแยกจากลุ่มของตน พวกเขาก็จะสร้างกลุ่มใหม่ขึ้นซึ่งกลายเป็นกองกำลังที่เรียกว่าฝ่าย ซึ่งการจัดตั้งฝ่ายเหล่านี้จะมีทุกปีในหมู่ศิษย์ใหม่เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนของพวกเขา หากแต่นั่นอาจเป็นการสร้างปัญหาให้กับพรรคบางพรรคที่ก่อตั้งกันมาก่อนแล้ว ซึ่งพวกเขาเกรงว่าหากพรรคเหล่านี้ได้เติบโตขึ้นมันอาจที่จะเป็นปัญหาสำหรับพวกเขา พวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันกำราบพรรคใหม่ ๆ เหล่านี้
       
แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ต้องการที่จะล้มพรรคของตน พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องส่งทรัพยากรรายเดือนให้กับบุคคลเหล่านี้ เพื่อเป็นการค้ำประกันให้กับพรรคของเขาว่า พรรคของเขานั้นจะมิถูกราวีโดยคนเหล่านี้อีก
       
ซึ่งแน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้มิได้ส่งผลที่ดีอันใดให้กับเหล่าศิษย์ใหม่เลยแม้แต่น้อย!
       
#########################################################

เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

B1 : เอาว่ะงานหน้านี่ต้องมาแล้ว
B2 : เด็ดครับเด็ด รุ่นน้องไฝว้รุ่นพี่
B3 : หากไอ้ศิษย์ผู้อาวุโสไรนี่มันอยู่แค่ระดับขั้นที่ 3 นะ [ก.]จะไม่ลุ้นให้เสียเวลาเลย
B4 : แหม่ B3 นายก็พูดไปบางทีมันอาจเก่งของโคตรเก่งเลยก็ได้นะ
B3 : มีด้วยหรอตัวร้ายที่โคตรเก่งสำหรับเรื่องนี้
B1,B2 : ก็ไม่รู้สินะ

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

3 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม