บทที่ 105 - จะยอมยุบหรือตาย

สำหรับศิษย์ผู้อาวุโสแล้วเพื่อให้พรรคของตนมีสมาชิกเพิ่มขึ้นพวกเขามิจำเป็นที่จะต้องเลือกวิธีการ แม้จะได้มาด้วยการข่มขู่หรือใช้กลโกงใดก็ตาม หากแต่สำหรับศิษย์ใหม่แล้วมันเปรียบเสมือนเป็นดั่งเรื่องระหว่างความเป็นและความตาย

ศิษย์แต่ละคนในที่นี้ต่างเป็นศิษย์ใหม่ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่สำนักย่อยของตน หลังจากที่พวกเขาได้ก้าวเข้ามายังภายในสำนักหลักซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยม การเจริญเติบโตของพวกเขาจะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับศิษย์ผู้อาวุโสได้สักวัน ซึ่งมันเป็นเพียงแค่เรื่องของเวลา
       
ฉะนั้นจึงไม่มีใครเต็มใจนักที่จะเข้าร่วมกับพรรคอื่นและกลายเป็นเพียงแค่ศิษย์ใต้อาณัติของพวกเขา
       
นอกจากนี้ เหยียนชือหลิง ยังมุ่งมั่นที่จะก่อตั้งพรรคจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขายินดีที่จะเข้าร่วม
       
          “ ตอนนี้พวกเขาได้ปิดกั้นเส้นทางเข้าออกของพวกเรา และบอกให้พวกเรานั้นยอมแพ้ อีกทั้งยังบอกให้พวกเรานั้นส่งทรัพยากรรายเดือนของพวกเราให้กับพวกเขาทุก ๆ เดือน มันจะล้ำเส้นพวกเรามากเกินไปแล้ว! ” ศิษย์ผู้หนึ่งขบฟันกล่าว
       
ในตอนนี้ศิษย์ผู้อาวุโสได้บังคับให้พวกเขานั้นยุบพรรคของตน หากมิเป็นเช่นนั้นแล้วพวกเขาจะถูกบดขยี้ด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า มิว่าจะเรื่องทางไหนมันก็มิเป็นผลดีต่อเหล่าศิษย์ใหม่เลยแม้แต่น้อย
       
ในยามนี้หัวใจของพวกเขาได้ยอมรับ เหยียนชือหลิง เป็นผู้นำพรรคของตน และเปรียบเสมือน เย่ชีเหวิน เป็นดั่งความเชื่อมั่นของพวกเขา แม้ว่า เย่ชีเหวิน จะยังมิได้รับปากที่จะเข้าร่วมพรรคด้วย หากแต่พวกเขานั้นรู้ถึงความแข็งแกร่งอันน่าทึ่งของ เย่ชีเหวิน ซึ่งพวกเขาต่างเชื่อมั่นว่าหากมีสิ่งใดเกินขึ้นกับพวกเขา เย่ชีเหวิน จะต้องยื่นมือเข้าช่วยอย่างแน่นอน
       
เย่ชีเหวิน กล่าวว่า “ งั้นข้าจะไปดู ”
       
เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ดูเหมือนว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเขาอยู่ไม่น้อย หลังจากที่เหล่าศิษย์ผู้อาวุโสได้บังคับให้พวกเขาจ่ายทรัพยากรรายเดือนให้กับพวกเขาทุกเดือน ซึ่งแน่นอนว่าทรัพยากรเหล่านี้คือแหล่งที่มาของความก้าวหน้าที่รวดเร็วที่สุดสำหรับพวกเขา
       
ซึ่งไม่ช้าก็เร็วปัญหาเหล่านี้มันก็ต้องมาถึงตัวเขาอย่างแน่นอน แล้วเหตุใดเขาถึงไม่ชิงมีส่วนร่วมมันเสียตั้งแต่ตอนนี้!
       
          “ หากศิษย์พี่เย่ ยืนยันที่จะเข้าร่วมมันย่อมต้องไม่มีปัญหาเป็นแน่! ” ศิษย์ผู้หนึ่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ปราบปลื้ม เขารู้อยู่แล้วว่า เย่ชีเหวิน นั้นจะต้องยืนมือเข้าช่วย หลังจากที่เขาก่อนหน้าได้แสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมและไม่ต้องการเข้าร่วมพรรคใด เมื่อต้องถูกศิษย์ผู้อาวุโสบังคับให้เข้าร่วมพรรคเช่นนี้แน่นอนว่า เย่ชีเหวิน ย่อมต้องไม่อยู่เฉย
       
เย่ชีเหวิน ตามเหล่าศิษย์ออกไปจากลานเล็ก ๆ ของเขา โดยเหล่าศิษย์ใหม่ภายในปีนี้พวกเขาถูกหมอบหมายให้พักอยู่ในลานที่พัก ซึ่งแม้ว่าเหล่าศิษย์ฝ่ายในจะมีอำนาจควบคุมทั้งหมด แต่ศิษย์ฝ่ายนอกก็ยังคงถูกรับเลือกให้พักที่ร่วมกันกับพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าบรรดาศิษย์ใหม่นั้นไม่มีทางเลือกนอกเสียจากว่าพวกเขาจะกลายเป็นศิษย์ฝ่ายหลัก จึงจะสามารถเลือกที่อยู่พักอาศัยเองได้ตามใจชอบ
       
หลังจากที่เขาได้ก้าวออกมาจากเขตที่พักของตน เขาก็ได้พบกับกลุ่มศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่ถูกนำโดยบุคคลที่โดดเด่นที่สุดอย่าง เหยียนชือหลิง
       
ใบหน้าของ เหยียนชือหลิง นั้นมีลักษณ์ที่ซีดขาวไม่น่าดู หลังจากที่พวกเขาได้ถูกปิดกั้นเอาไว้โดยศิษย์ผู้อาวุโสนับ 10 คน ซึ่งศิษย์ผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างมีใบหน้าที่มิได้แยแสต่อสิ่งใดในขณะที่พวกเขาได้จับจ้องมองไปยังเหล่าศิษย์ใหม่ในปีนี้ และผู้นำของพวกเขาก็คือชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำที่มีลักษณะเหมือนตนยังมีอายุราวอยู่แค่ 25 ปี เขาได้ก้าวออกมายังด้านหน้าพร้อมเปิดปากกล่าว “ ข้าจะไม่เสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระใด ๆ ทั้งนั้น พวกแกมีเพียงแค่ 2 ทางเลือกระหว่างจะยอมจ่ายทรัพยากรรายเดือนของพวกเจ้ามาหรือจะยอมยุบพรรคเน่า ๆ ของพวกเจ้าเสีย ”
       
คำพูดของเหล่าบรรดาศิษย์อาวุโสได้กระตุ้นความโกรธแค้นของพวกเหล่าบรรดาศิษย์ใหม่ ซึ่งทางเลือกเหล่านั้นมันมิได้ต่างอะไรไปกับการหักดิบพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
       
          “ เรารู้ว่าพวกท่านนั้นต้องการต้อนให้พวกเราจนมุม! ” ศิษย์ใหม่ผู้หนึ่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่โกรธแค้น
       
          “ ดีงั้นข้าจะมอบทางเลือกให้กับพวกเจ้าเสียอีกทาง ซึ่งมันง่ายมากเพียงแค่พวกเจ้ายอมยุบพรรคเน่า ๆ ของพวกเจ้าไปเสียและมาเข้าร่วม[พรรค ฟู๋ตี่]ของพวกข้า นอกจากพวกข้าจะมิทำอะไรพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ายังสามารถปกป้องทรัพยากรรายเดือนของพวกเจ้าเอาไว้ได้อีกด้วย มันจะมีอะไรดีมากไปกว่านี้อีกหรือไม่! ” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน “ แต่จะว่าไปแล้วข้าเองนั้นก็ต้องการที่จะเห็นรางวัลนั่นเป็นขวัญตาเช่นกัน หลังจากที่ข้าได้ยินมาว่าเหล่าบรรดาศิษย์ใหม่ภายในปีนี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าศิษย์อัจฉริยะที่หาที่เปรียบมิได้ ซึ่งแน่นอนว่าทรัพยากรที่ได้ก็ย่อมต้องมีมากมายมหาศาล ฮะฮ่าฮ่าฮ่า ข้าละอดใจรอดูมันไม่ได้เสียจริง ”
       
ใบหน้าของเหล่าบรรดาศิษย์ใหม่ต่างถูกเติมเต็มไปด้วยความโกรธแค้น พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นศิษย์ชั้นนำและแข็งแกร่งที่สุดภายในสำนักย่อยของตน หากแต่ในเวลานี้พวกเขากับถูกรังแก
       
เกี่ยวกับการกระทำของพวกเขา เย่ชีเหวิน ได้รับรู้มาว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วเป็นศิษย์จากพรรคที่มีนามว่า [ฟู๋ตี่] ซึ่งถูกก่อตั้งโดยศิษย์ฝ่ายหลัก และมีสมาชิกเป็นศิษย์ฝ่ายในมากกว่า 100 คน พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ระดับสูงทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าพรรคของพวกเขาในตอนนี้ถูกพิจารณาว่าเป็นเพียงแค่พวกระดับปานกลางที่มีความแข็งแกร่งเป็นเพียงแค่พื้น ๆ เมื่อเทียบกับพรรคที่ถูกก่อตั้งโดยศิษย์ฝ่ายหลัก
       
          “ ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้ายุบพรรคของตนลงเสีย เพราะข้าเคยเหล่าเห็นศิษย์ที่อวดดีเช่นพวกเจ้ามามากมาย พวกมันได้ก่อตั้งพรรคของตนขึ้นโดยไม่เกรงกลัวและไม่ยอมอยู่ภายใต้อาณัติของผู้ใด จนในท้ายที่สุดพวกมันก็ได้ถูกบดขยี้อย่างราบคาบและต้องยุบพรรคของตนไป แม้แต่ศิษย์ภายนอกในปีนี้ที่ดูมีความแข็งแกร่งเหนือเสียยิ่งกว่าพวกเจ้า พวกมันก็ยังต้องยอมศิโรราบให้กับพวกข้าและยุบพรรคของตนลงเพื่อเข้าร่วมกับ[พรรค ฟู๋ตี่]ของพวกข้าในที่สุด! ” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำเปิดปากกล่าว
       
          “ อย่าให้มันมากเกินไปนัก! ” เหยียนชือหลิง กล่าวออกมาด้วยด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
       
          “ สิ่งที่มากเกินไป! ” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่บูดบึ่ง “ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะอยากเป็นเพียงแค่เด็กส่งขนมปัง! ”
       
          “ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะตั้งแต่กำเนิดและเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดภายในปีนี้ ข้าละอยากจะเห็นเป็นบุญตาเสียจริงว่าเจ้านั้นมันจะมีดีอย่างที่คนเขากล่าวกันหรือไม่! ” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่เย้ยหยัน ฝ่ามือของเขาได้กลายเป็นกรงเล็บและเพียงพริบตามันได้พุ่งตรงไปยังศีรษะของ เหยียนชือหลิง หมายมั่นที่จะคว้าจับกะโหลกของเขา
       
          “ ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก! ” ฉับพลันกลิ่นอายของ เหยียนชือหลิง ก็ได้ลุกโชนขึ้น[ พลังปราณเปลวเพลิง ]ได้หมุนวนไปทั่วแขนของเขา ราวเหมือนกับว่าแขนของเขานั้นได้กลายเป็นเปลวเพลิง และมันยังได้พุ่งตรงเข้าปะทะกับกรงเล็บที่กำลังพุ่งเข้ามา
       
          “ ตูม! ” ทั้งกรงเล็บและกำปั้นต่างพุ่งชนเข้าด้วยกันอย่างรุนแรง กลายเป็นคลื่นระเบิดพลังปราณที่ไม่มีที่สิ้นสุดแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง บังเกิดเป็นลมกรดที่แสนน่ากลัวพัดผ่านไปทั่วทุกสารทิศ
       
พวกเขาทั้ง 2 ต่างถอยหลังกลับมา โดยที่มิได้คาดคิดว่าความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นจะอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน
       
โดยเฉพาะชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำใบหน้าของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน ซึ่งเขามิได้คาดคิดว่าความแข็งแกร่งของ เหยียนชือหลิง นั้นจะมากมายถึงเพียงนี้ แม้ว่าเขาจะได้ยินมาอยู่บ้างว่าศิษย์ใหม่ที่ได้ก้าวเข้ามายังสำนักหลักในปีนี้นั้นจะเป็นอัจฉริยะที่หาที่เปรียบมิได้ แต่ทว่าหลังจากที่เขาได้อยู่ภายในสำนักหลักมาถึง 9 ปีและอัจฉริยะที่พึ่งก้าวเข้ามาภายในปีนี้มันจะไปมีความหมายอะไรสำหรับเขา ฉะนั้นแล้วเขาจึงมิได้แยแสต่อศิษย์ใหม่ในปีนี้เสียสักเท่าไหร่นัก หากนับปีนี้เข้าด้วยแล้วเขาสมควรที่จะมีอายุห่างมากกว่า เหยียนชือหลิง ถึง 10 ปีซึ่งด้วยระยะห่างถึง 10 ปีมันย่อมตั้งมีความแตกต่างระหว่างทรัพยากรที่พวกเขาได้รับมาตลอดระยะเวลานี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เหยียนชือหลิง มีความสามารถทัดเทียมเขา? ความอิจฉาได้ประกายขึ้นมาภายในดวงตาของเขาและมันกลายเป็นเจตนาฆ่าอย่าหาที่สุดมิได้ ทั้งที่เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มแต่กลับมีความสามารถถึงเพียงนี้มีหรือที่เขาจะสามารถยอมรับ ทั้งที่ เหยียนชือหลิง ยังไม่แม้แต่จะได้ฝึกฝนภายในสำนักหลักแต่เขากลับสามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเขาได้
       
เพื่อให้บรรลุถึงความแข็งแกร่งระดับนี้ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาถึง 10 ปี ในขณะที่เขาต้องเริ่มจากการเป็นเพียงแค่ศิษย์ฝ่ายนอก จนในตอนนี้เขาได้มาถึงแล้วใน[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 3 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]แม้ว่าจะไม่ได้อยู่บนจนสูงสุดในหมู่ศิษย์ฝ่ายใน หากแต่ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาการจะรังแกพวกเหล่าศิษย์ใหม่ก็มิใช่เรื่องยากอันใดนัก
       
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น!
       
ความอิจฉาได้ประกายผ่านเข้าไปภายในดวงตาของเขาและชายหนุ่มชุดคลุมสีดำก็ได้ทำการบุกโจมตีเข้าใส่ เหยียนชือหลิง อีกครั้ง ในขณะที่ เหยียนชือหลิง อดไม่ได้ที่จะต้องเย้ยหยันและเผชิญหน้ากับการโจมตีเหล่านั้น
       
การปะทะกันของพวกเขาทั้ง 2 เป็นไปอย่างดุเดือน เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ พลังกำปั้นของพวกเขาได้ระเบิดชั้นบรรยากาศโดยรอบ การต่อสู้ของพวกเขาเริ่มรุนแรงมากขึ้นและแพร่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง กระทั่งเหล่าศิษย์ใหม่ยังต้องกระเด็นถอยหลังกลับออกไปนับหลายก้าวและไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้การต่อสู้ที่น่ากลัวนี้
       
ซึ่งพวกเขาทั้ง 2 ต่างเกลียดชังซึ่งกันและกัน จึงอาจสังเกตได้อย่างชัดเจนถึงความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าความแข็งแกร่งของ เหยียนชือหลิง นั้นจะมีความแข็งแกร่งมาก แต่ทว่าชายหนุ่มชุดคลุมสีดำก็ยังคงมากไปด้วยประสบการณ์ที่เหลือล้นและเขาเชื่อว่าตนจะสามารถเอาชนะ เหยียนชือหลิง ได้ไม่ยาก หากแต่ เหยียนชือหลิง นั้นสามารถอ่านการโจมตีของเขาออกทั้งหมด ซึ่งการที่เขาจะกลายเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ในครั้งนี้นั้นเป็นเพียงแค่เรื่องของเวลา
       
แต่ในขณะเดียวกันเหล่าศิษย์ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ได้สังเกตเห็นถึงปัญหาที่ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำกำลังเผชิญ ด้วยสายตาของพวกเขาที่สามารถมองกาลไกลได้ดียิ่งกว่าเมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์ใหม่ด้วยระยะเวลาและประสบการณ์ที่พวกเขามี
       
#########################################################

ปล. แก้ไขความคับข้องใจกระตุ้นความจำ
ปล1 : เหยียนชือหลิงคือผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาประเภทเปลวเพลิง
ปล2 : แท้จริงชายหนุ่มชุดคลุมสีดำมีอายุมากว่าเหยียนชือหลิงนับ 10 ปีหากแต่เพราะเป็นผู้ฝึกยุทธหน้าเลยเด็กราวเหมือนกับตนอายุ 25
ปล3 :พรรค ฟู๋ตี่ หากแปลเป็นไทยก็น่าจะมีความหมายว่า พรรคพื้นเมือง
[伏地 >> ท้องถิ่น ,พื้นเมือง ]

#########################################################

เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

B1 : งานนี้จะมีรุมโทรมหรือไม่
B2 : เหยียนชือหลิงจะก้นบานหรือป่าว
B1 : เรามาติดตามตอนต่อไปกันเถอะ
B3 : ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 3 ดินแดนลมปราณก่อเกิด เหอะ เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
B4 : เอาน่าถือว่านี่เป็นการโชว์ฟอร์มของ เย่ชีเหวิน และ เหยียนชือหลิง ไปแล้วกัน

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

1 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม