บทที่ 107 - ในส่วนลึกหุบเขาของสำนัก

หลังจากที่[พรรค เฉินยู้]ได้ถูกก่อตั้งขึ้น เย่ชีเหวิน ก็ไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมใด ๆ ในการจัดการเรื่องภายในและปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เป็นหน้าที่ของ เหยียนชือหลิง เป็นคนจัดการซึ่งเขาก็สามารถทำมันได้เป็นอย่างดี ด้วยประสบการที่เขาเคยเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของ[สำนักย่อยเฉินเฮ้าเชิน]จึงทำให้เขามีความคุ้นเคยต่อเรื่องเช่นนี้
       
เย่ชีเหวิน กลับไปยังลานเล็ก ๆ ของตนซึ่ง เหยียนชือหลิง เองก็เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าพรรคของพวกเขาจะก้าวหน้าหรือตกต่ำ มันก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้นำ ตราบใดที่ความสามารถของผู้นำเป็นที่โดดเด่นพรรคของพวกเขาก็จะอยู่รอดแต่ถ้าหากผู้นำพรรคของพวกเขานั้นอ่อนแอ แม้จะมีเหล่าสมาชิกที่มากไปด้วยความสามารถที่แสนน่ากลัวอยู่ถึง 2 – 3 คน พรรคของพวกเขาก็ต้องถูกยุบลงอยู่ดี
       
ในเวลานี้มี เหยียนชือหลิง และ เย่ชีเหวิน เพียงเท่านั้นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดภายใน[พรรค เฉินยู้] แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นด้วยความแข็งแรงของพวกเขาก็เพียงพอแล้วที่จะชูธงพรรคของพวกเขาในด้านหน้าของฝูงชน
       
เย่ชีเหวิน นั้นตระหนักดีว่าความสงบเช่นนี้มันมิอยู่ได้นานนัก หลังจากที่เขาได้เข้าร่วมพรรคแล้วเขามีความจำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
       
นอกจากนี้ เย่ชีเหวิน ยังไม่มีทางเลือกและไม่สามารถหลบหนี เขาที่รู้ดีถึงทัศคติที่เย่อหยิ่งของพรรคอื่น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาจะมิมีทางยอมรับให้พรรคที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยศิษย์ใหม่มีความก้าวหน้ามากขึ้นไปกว่านี้ และพวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดมัน แต่แล้วพรรคของพวกเขาก็เริ่มกลายเป็นที่สนใจมากขึ้น มีหรือที่พวกเขาจะมิใช้โอกาสนี้ในการบดขยี้[พรรค เฉินยู้]!
       
เพื่อที่จะปกป้องตนเองและอนาคตของเขา เขาจำเป็นที่จะต้องหมั่นฝึกฝนเพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่สามารถเกิดได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ภายในใจของเขายังคงคิดเสมอว่าในอดีตที่ผ่านมาเคยมีคนทำเช่นนี้ได้มาก่อนแล้วเหตุใดเขาจะทำมันไม่ได้
       
ความแข็งแกร่งของ เย่ชีเหวิน ได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทันทีที่เขาได้ก้าวเข้าสู่[ ระดับขั้นที่ 2 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]และผันแปร[ พลังปราณก่อเกิด ]ไปแล้วกว่า 60% ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่เหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 3 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] ซึ่งในตอนนี้มันก็ได้ถึงแก่เวลาแล้วที่ความแข็งแกร่งของเขาจะต้องมีความก้าวหน้า
       
ซึ่งหลังจากที่เขาสามารถก้าวผ่านไปยัง[ ระดับขั้นที่ 3 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] เขาจะสามารถต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นที่ 4 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ได้อย่างง่ายดาย
       
หลังจากที่ได้คิดเช่นนี้แล้ว เย่ชีเหวิน ก็ได้ตัดสินใจออกจากลานเล็ก ๆ ของตนและก้าวเดินไปยังเส้นทาง[ วิหารบุญ ]
       
เมื่อมองไปยัง[ วิหารบุญ ]ที่อยู่บน[ ยอดหุบเขา เสียดนภา ]มันช่างดูหรูหราและสง่างาม ซึ่งเหมาะสมแล้วที่เป็นถึงต้นแบบของ[ วิหารบุญ ]ในทุกสาขาสำนักย่อย
       
ทันทีหลังจากที่ เย่ชีเหวิน ได้ก้าวเข้ามายังภายใน[ วิหารบุญ ]เขาได้ใช้[ ศิลาวิญญาณระดับกลาง ] 1,000 ก้อนในการแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราสำนัก 1,000 จุด จนทำให้[ ศิลาวิญญาณระดับกลาง ]ของเขาเหลืออยู่เพียงแค่ 6,000 ก้อน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็มิได้เสียใจกับมัน เพราะเขาทราบดีว่ามันมีหลายสิ่งอย่างที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยศิลาวิญญาณแต่สามารถแลกเปลี่ยนได้ด้วยเงินตราของสำนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วมันถือเป็นส่วนหนึ่งของผลประโยชน์ที่ซ่อนเร้นของสำนัก
       
เย่ชีเหวิน ได้ใช่เงินตราสำนัก 1,000 จุดในการแลกเปลี่ยนกับ[ นกกระเรียนหัวแดง ]พาหนะที่ใช้สำหรับเดินทางบนฟ้าซึ่งพวกมันได้ถูกกล่าวขานโดยรวมว่าเป็นนกยักษ์ปีศาจ ภายในสำนักหลักยี่หยวนได้ชุบเลี้ยงพวกมันเอาไว้อยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยนิสัยที่เชื่องอ่อนโยนและสามารถควบคุมได้โดยง่ายจึงเหมาะสมที่จะใช้มันเป็นยานพาหนะสำหรับพวกเขา ซึ่งมันสามารถรับผู้คนได้จำนวนมาก อีกทั้งภายในร่างกายของพวกมันยังมีสายเลือดชั้นยอดที่สามารถทำให้พวกมันเดินทางเป็นระยะหลายพันกิโลเมตรได้โดยที่มิต้องหยุดพัก
       
แต่ถึงอย่างไรก็ตามใช่ว่าจะทุกคนที่สามารถซื้อ[ นกกระเรียนหัวแดง ]ได้เช่น เย่ชีเหวิน ด้วยราคาที่ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากจึงมีเพียงแค่ศิษย์ฝ่ายใน 200 – 300 คนเท่านั้นในหมู่ศิษย์นับหลายพันคนที่มีมัน
       
เย่ชีเหวิน ได้เรียก[ นกกระเรียนหัวแดง ]ออกมา ซึ่งในขณะที่มันลุกขึ้นยืน มันมีความสูงอยู่ราวประมาณสองเมตร ซึ่งถือได้ว่าอยู่ในระดับที่พอดีและเหมาะสมแก่การเดินทางบนอากาศ
       
ซึ่งหลังจากที่ เย่ชีเหวิน ได้เรียกมันออกมา เขาก็ได้ทำการควบคุม[ นกกระเรียนหัวแดง ]และส่งสัญญาณให้มันด้วยการกระพริบตา จากนั้นมันก็ได้กระพือปีกและบินพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เข้าไปยังส่วนลึกของสำนักหลักยี่หยวนอย่างรวดเร็ว
       
โดยวิธีการที่เขาใช้ในการควบคุมมันนั้น คือการควบคุมผ่านทางความคิดแทนการสื่อสาร ไม่ว่าจะเพิ่มความเร็วลดความเร็วหรือเปลี่ยนทิศทางเขาก็สามารถสั่งมันได้ด้วยเพียงแค่ใจนึก!
       
สำนักหลักยี่หยวนได้ถูกทับซ้อนไว้ด้วยยอดหุบเขาจำนวนมาก แม้ว่าเขาในตอนนี้จะอยู่สูงมากนับจากพื้นดิน แต่เขาก็ยังคงได้ยินเสียงคำรามของเหล่าสัตว์ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างชัดเจนจากยอดหุบเขาเหล่านั้น ยิ่งเขาเข้าใกล้ส่วนลึกของสำนักหลักยี่หยวนไปมากเท่าไหร่เสียงคำรามของพวกมันก็ยิ่งดังก้องมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งมันอาจกล่าวได้ว่าภายในเขตพื้นที่แทบนี้ต่างเต็มไปด้วยเหล่าสัตว์ปีศาจที่แข็งแกร่งจำนวนมากเมื่อเทียบกับ[สำนักย่อยหุบเขาฉิงฟง]แล้วมันราวเหมือนกับว่าที่นั่นเป็นเพียงแค่สนามเล่น เหล่าสัตว์ปีศาจที่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ต่างเต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจหลากหลายสายพันธุ์ที่ได้มาอาศัยอยู่ร่วมกัน และมันยังเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยมในการฝึกฝนเหล่าศิษย์ภายในสำนัก
       
ความเร็วในการบินของ[ นกกระเรียนหัวแดง ]นั้นถือได้ว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก เพียงแค่ผ่านไป 1 ชม. เขาก็ได้ข้ามออกมาแล้วจากเทือกเขาทั้งหมด ซึ่งการใช้ 1,000 [ ศิลาวิญญาณระดับกลาง ]เพื่อแลกกับ[ นกกระเรียนหัวแดง ]สำหรับเขาแล้วถือว่าคุ้มค่าไม่น้อย หากต้องเดินทางตามเส้นทางปกติจำเป็นที่จะต้องใช้ระยะเวลานับหลายวันกว่าจะสามารถเดินทางมาได้ถึงเพียงนี้
       
[ นกกระเรียนหัวแดง ]ได้ล่อนลงมาจากฟากฟ้าและลงจอดยังพื้นดิน เย่ชีเหวิน ได้กระโดดลงมาจากด้านหลังของมัน มันได้กระพือปีกและบินขึ้นไปบนฟากฟ้าอีกครั้ง และได้บินขึ้นไปยังยอดหุบเขาอีกลูกหนึ่งเพื่อรอคอยการเรียก
       
เย่ชีเหวิน รู้สึกประหลาดใจเพราะก่อนหน้าเขาได้ยินเสียงสัตว์ปีศาจตนหนึ่งคำรามออกมาดังกึกก้องมากกว่าตัวใด ๆ ที่เขาได้ยินในหุบเขาแทบนี้ อีกทั้งเสียงคำรามของมันยังมีลักษณะที่แหบคมต่ำ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยินเสียงมันก็ยังต้องรู้สึกผวา นอกจากนี้ในบางครั้งเขายังได้เห็นเหล่าศิษย์บางคนที่ขี่นกยักษ์ปีศาจคอยสังเกตการณ์อยู่บนท้องฟ้า
       
สภาพแวดล้อมของยอดหุบเขาในแต่ละลูกนั้นมันช่างสวยสดงดงาม หากแต่มันก็แฝงไปด้วยภัยอันตรายที่แสนน่ากลัว
       
ซึ่ง เย่ชีเหวิน ก็รู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี เขาในตอนนี้ต้องการที่จะตัดผ่านไปยังระดับขั้นต่อไปให้เร็วที่สุด ฉะนั้นแล้วตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขานั่นก็คือการเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหม่
       
เย่ชีเหวิน ไม่มีความลังเลอีกต่อไป ปลายเท้าของเขาได้ระเบิดพลังปราณออกมา ส่งผลให้ร่างของเขานั้นพุ่งทะยานตรงไปยังข้างหน้าและกลายเป็นภาพเงาที่หายเข้าไปภายในป่าใหญ่
       
การเคลื่อนไหวของเขานั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วและฉับไว เขาวิ่งผ่านต้นไม้ใหญ่ไปแล้วนับไม่ถ้วน เพียงพริบตาเขาก็ได้เข้ามายังส่วนลึกของป่า

#########################################################

เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

B1 : อืมเวลาฟาร์มก็มา
B2 : ความเก่งเริ่มถามหา
B3 : จะพัฒนาอีกแล้วสินะ
B4 : เอาน่าถ้าพัฒนาแสดงว่าตัวร้ายมันก็ต้องเก่งขึ้น
B3 : ช่ายแล้วมันยังบ่งบอกอีกว่าตัวร้ายชุดใหม่จะตายห่ากันอีกแล้ว!!

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

3 ความคิดเห็น:

  1. ได้เวลาฟาร์มแล้วสิ

    ตอบลบ
  2. บอกว่านกตัวนี้สามารถรับคนได้มาก แต่ดูจากความสูงของนกที่บอกว่า เวลายืนจะมีความสูงถึงสองเมตร เทียบกับคนแล้วยังไงมันก็รับคนได้แค่คนเดียวเท่านั้น มันขัดกันมากเลยนะ

    ตอบลบ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม