บทที่ 114 - ชัยชนะและความพ่ายแพ้ยังไม่ได้ถูกตัดสิน

          “ ข้าวางเดิมพัน 5,000 ศิลาวิญญาณระดับกลางกับชัยชนะของ เย่ชีเหวิน! ”
       
รูปร่างผอมเพรียวในชุดคลุมสีฟ้าได้ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูทางเข้า
       
เย่ฟง และคนอื่น ๆ ต่างหันหลังกลับไปมองอย่างฉับพลันและในขณะนั้นเองบนใบหน้าของพวกเขาก็ได้แสดงออกถึงความสุข
       
          “ น้องเล็ก! ”
       
          “ น้องเล็ก! ”
       
          “ พี่ชายเย่! ”
       
          “ พี่ชายเย่! ”
       
เหล่าศิษย์ใหม่ต่างอุทานขึ้นเป็นเสียงเดียวกันด้วยรูปลักษณ์ใบหน้าที่ดูสดใส
       
          “ นั่นคือ เย่ชีเหวิน , ช่างเป็นคนที่กล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก! ”
       
          “ แม้ในความเป็นจริง โมฮัน จะไม่ได้เป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งอะไรมากนัก หากแต่ยังไง เย่ชีเหวิน ก็ยังคงเป็นเพียงแค่ศิษย์ใหม่! ”
       
          “ ใช่แล้วเจ้ากล่าวถูก ด้วยผลของการต่อสู้ในครั้งนี้จะทำให้พวกมันได้เข้าใจเองว่า การที่จะมาเทียบชั้นกับพวกเรานั้นมันยังเร็วไป 100 ปี! ”
       
เหล่าศิษย์ผู้อาวุโสบางส่วนต่างพูดคุยกันอย่างวางมาดและมองลงมาที่ศิษย์ใหม่ด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม แม้ว่าในหมู่คนเหล่านั้นจะแฝงไปด้วยบุคคลที่มากความสามารถและมีพรสวรรค์เป็นเลิศ หากแต่เมื่อมองดูระดับการบ่มเพาะพลังของมันผู้นั้นแล้วมันก็เทียบเท่าได้กับพวกปานกลางเพียงเท่านั้นสำหรับเหล่าศิษย์ผู้อาวุโส ฉะนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่ต้องการที่จะสูญเสียเวลาใด ๆ มองลงมายังเหล่าศิษย์ใหม่ที่พึ่งก้าวเข้ามายังสำนักหลักภายในปีนี้ และขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์ที่มีความสามารถอันโดดเด่น
       
เกี่ยวกับคำพูดเหล่านั้น เย่ชีเหวิน มิได้ให้ความสนใจใด ๆ เลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขามิได้มีค่าพอให้สนใจ บนโลกใบนี้ตราบใดที่มีความแข็งแกร่งที่มากพอจึงจะมีค่าพอแก่ควรให้สนใจ!
       
          “ ข้าวางเดิมพัน 5,000 ศิลาวิญญาณระดับกลางกับชัยชนะของข้า! ” เย่ชีเหวิน เดิมไปยังด้านหน้าของศิษย์ที่เปิดโต๊ะวางเงินเดิมพันพร้อมกล่าว
       
ทันทีที่ศิษย์ผู้นั้นได้รับเงินเดิมพันกว่า 5000 ศิลาวิญญาณระดับกลาง มือของเขาก็เริ่มสั่นเท่าด้วยจำนวนเงินที่มากเกินไป แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะใช้จ่ายมันในการวางเงินเดิมพัน เพราะนั่นมันอาจทำให้พวกเขาไม่มีอะไรเหลือ
       
มีเพียงแค่บางส่วนสำหรับเหล่าศิษย์ที่ถูกเลือกเท่านั้นถึงจะกล้าใช้จ่ายในจำนวนเงินที่มากมายถึงเพียงนี้ได้เฉกเช่นเดียวกับ เย่ชีเหวิน เพราะถ้าหากพวกเขาพ่ายแพ้พวกเขาก็จะสูญเสียทุกสิ่ง
       
แต่ถ้าหากชนะพวกเขาก็จะได้รับเงินคืนถึง 10 เท่า ซึ่งมันเทียบเท่าได้กับจำนวนเงินของเหล่าศิษย์หลัก
       
หลังจากที่ เย่ชีเหวิน ได้วางเงินเดิมพันเขาก็ได้หันหลังกลับโดยที่ไม่มีสีหน้าที่บ่งบอกถึงความวิตกกังวนใด ๆ ราวเหมือนกับว่ารางวัลทั้งหมดจะต้องตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว จากนั้นโต๊ะเดิมพันก็ได้ปิดตัวลงและไม่มีการวางเงินเดิมพันใด ๆ อีก
       
แม้ว่าจำนวนเงิน 50,000 ศิลาวิญญาณระดับกลาง จะถือเป็นที่สุดความมั่งคั่งของศิษย์ฝ่ายใน หรือกระทั่งศิษย์หลักบางจำพวก หากแต่ด้วยจำนวนเงินเพียงเท่านี้มันไม่มีค่าใดเลยสำหรับศิษย์ที่แท้จริง
       
          “ น้องเล็กเจ้าดูเหมือนว่าจะมีความมั่นใจมากในวันนี้ ” เย่ฟง กล่าวถาม
       
          “ แน่นอน ข้ามั่นใจ ” เย่ชีเหวิน กล่าวด้วยรอยยิ้ม
       
          “ วันนี้ข้าจะจบการต่อสู้ด้วยเวลาเพียงชั่วอึดใจ! ”
       
....................
       
โดย ลานประลองความเป็นและความตาย ต่างถูกอัดแน่นไปด้วยเหล่าศิษย์จำนวนมาก ที่ดูราวเหมือนกับเป็นคลื่นทะเลมนุษย์ไม่เพียงแค่ศิษย์ฝ่ายในเท่านั้นที่ได้มาดูการต่อสู้ในครั้งนี้ เพราะแม้แต่พวกศิษย์หลักเองก็ต้องการมาเยี่ยมชมประลองด้วยเช่นกัน
       
นาทีแล้วนาทีเล่า เวลาค่อย ๆ ผ่านล่วงเลยไปและการต่อสู้ก็ใกล้จะเริ่มขึ้นในไม่ช้า
       
หลายศิษย์ที่อยู่รอบ ลานประลองความเป็นและความตาย ต่างส่งเสียงเชียร์อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งพวกมันทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคนของ[พรรค ฟู๋ตี่]ที่ได้ส่งแรงเชียร์ไปยังรองผู้บังคับบัญชาการฝ่ายหลักของพวกมันนามว่า โมฮั่น
       
          “ ท่านรองฆ่าไอ้เด็กหยิ่งยโสนั่นทิ้งเสีย! ”
       
          “ ทำให้ไอ้พวกศิษย์ใหม่มันได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกเรา! ”
       
ศิษย์ของ[พรรค ฟู๋ตี่]ต่างหัวเราะเย้ยหยัน ในขณะที่ศิษย์ใหม่จาก[พรรค เฉินยู้]ได้จับจ้องไปที่เหล่าศิษย์ผู้อาวุโสด้วยสายตาที่โกรธเกี้ยว
       
บนอัฒจันทร์ที่แสนห่างไกลตรงข้ามกับลานประลองได้มีสองรูปเงายืนอยู่ด้านบนและกำลังมองลงมาที่ ลานประลองความเป็นและความตาย ด้วยท่าทีที่สนอกสนใจเป็นพิเศษหาก เย่ชีเหวิน ได้ยืนอยู่ที่นั่นเขาจะต้องรู้สึกแปลกใจมากเป็นแน่เพราะ 1 ใน 2 คนนั้นคือคนที่ได้มาช่วยเขาเอาไว้เมื่อ 1 เดือนที่แล้ว จิงเยี้ยนหนาน
       
และผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างของเขานั้นคือชายหนุ่มในชุดคลุมสีทำและมีใบหน้าที่ซีดขาว แต่ก็ยังคงมีความหล่อเหลาเอาการและจับจ้องลงไปด้วยสายตาที่จริงจังต่อเวทีประลอง
       
          “ พี่ชายจิง ข้าไม่คิดว่า เย่ชีเหวิน จะกล้าที่จะมาการต่อสู้จะเริ่มขึ้นอีกในไม่ช้าแต่ข้ายังมิได้เห็นวี่แววของเขาเลยแม้แต่น้อย! ” ชายหนุ่มห่อเหลาในชุดคลุมสีดำว่ากล่าว
       
          “ นั่นเป็นไปไม่ได้! ” จิงเยี้ยนหนาน ส่ายหัวพร้อมกล่าว “ แม้ข้าจะเจอกับเขาเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ก็ต้องยอมรับว่าศิษย์น้องหญิง ฮวาเหมิงฮัน ได้คาดหวังไว้ที่ตัวเขานั้นสูงมาก อีกทั้งข้ายังได้สังเกตเห็นได้อีกว่าเขานั้นมีจิตใจที่กล้าแกร่ง เขายอมตายดีกว่าต้องยอมคุกเข้าลงในด้านหน้าของใครบางคน ฉะนั้นแล้วจึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เขาจะเป็นชายที่ขี้ขลาดและหนีออกจากการต่อสู้ในครั้งนี้! ”
       
          “ โอ้ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากนักที่จะมีศิษย์ฝ่ายในถูกประเมินไว้สูงโดยพี่ชายจิงเช่นนี้ ” ชายหนุ่มหล่อเหล่าในชุดคลุมสีดำกล่าวออกมาในลักษณะที่แปลกใจ เขาเพียงแค่คิดว่าแท้จริงแล้ว จิงเยี้ยนหนาน ได้มาไกล่เกลี่ยให้นั่นเพราะเป็นคำร้องขอจาก ฮวาเหมิงฮั่น ที่ให้ทำเช่นนั้น หากแต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่า จิงเยี้ยนหนาน จริงจะประเมิน เย่ชีเหวิน ไว้สูงถึงเพียงนี้
       
จิงเยี้ยนหนาน กล่าวออกไปด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ “ ที่ประเมินไว้สูงนั่นก็คงเป็นเพราะว่าเขาเป็นศิษย์ใหม่ที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ ”
       
          “ อัจฉริยะ! ฮะฮ่าฮ่าฮ่า ท่านคิดเช่นไรกับอัจฉริยะที่ตายในทุกปีเมื่อพวกมันได้ก้าวเข้ามายังภายในสำนักหลักยี่หยวนกัน? แน่นอนว่าพวกมันล้วนเป็นอัจฉริยะแต่ถ้าหากยังมิได้รับการเติบโตเต็มที่แล้วท่านคิดว่ามันจะสามารถเจริดจรัสได้หรือไม่? ” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำกล่าวพร้อมหัวเราะ อย่าลืมว่าศิษย์หลักทุกคนที่ได้มาดูการประลองในครั้งนี้พวกเขาทั้งหมดต่างก็เคยถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ เมื่อยามที่พวกเขาได้อยู่ภายในสำนักย่อยของตนเขาพวกเขาก้ได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นศิษย์ชั้นนำ ศิษย์ที่โดดเด่น และศิษย์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์หาที่ใดเปรียบ หากแต่ทันทีที่พวกเขาได้ก้าวเข้ามายังภายในสำนักหลัก ชื่อเสียงเหล่านั้นมันก็มิได้มีความหมายสำหรับพวกเขาอีกต่อไป
       
ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะที่มากไปด้วยความสามารถแต่ถ้ามิได้รับโอกาสให้เติบโตมันก็ไร้ความหมาย ผู้ที่มีโอกาสเติบโตสิถึงจะเรียกว่าผู้ที่แข็งแกร่ง ขอเพียงแค่ได้เติบโตแม้ความสามารถจะปานกลางแต่ก็สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ เหล่ากองกระดูกของอัจฉริยะที่ตายแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ถนนที่มีไว้เพื่อปูทางให้เหล่าคนที่ยังอยู่ด้าวข้ามขึ้นไปเพียงเท่านั้น
       
          “ ในยามที่ โมฮัน ยังคงเป็นศิษย์ใหม่ที่พึ่งก้าวเข้ามายังภายในสำนักหลัก เขาได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่โดดเด่นกว่าผู้ใด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าได้รับเขาเอาไว้และแต่งตั้งเขาขึ้นให้เป็นรองผู้บังคับบัญชาฝ่ายหลักของพรรค ” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำกล่าวออกมาในลักษณะที่ผ่อนคลาย ในขณะที่ร่างกายของเขานั้นได้พิงกับเสาหิน
       
แท้จริงแล้วชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำนั้นมิใช่ใครอื่นเขาคือผู้ก่อตั้ง[พรรค ฟู๋ตี่]นามว่า ฉินมู้เจ้อ
       
          “ มันก็เป็นเรื่องที่ร่าสนใจอยู่มิใช้หรือคนหนึ่งเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในปีนี้กับอีกคนที่เป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ” จิงเยี้ยนหนาน กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
       
          “ มันมีอะไรที่น่าสนใจกัน? หากการต่อสู้นี้เกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีให้หลัง ก็คงไม่มีใครสามารถคาดเดาผลของการต่อสู้ในครั้งนี้ได้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ หากแต่ในตอนนี้มันไม่ใช่ผลของการต่อสู้มันได้ถูกตัดสินไปแล้ว ” ฉินมู้เจ้อ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
       
          “ เป็นเรื่องยากที่จะกล่าวเช่นนั้น ท่านรู้หรือไม่ว่ามีศิษย์ใหม่ในปีนี้กี่คนกัน ที่ได้รับรางวัลเป็น[ หยวนจินตัน ]? ” จิงเยี้ยนหนาน กล่าวพร้อมยกรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย
       
          “ หยวนจินตัน… ” ฉินมู้เจ้อ ชะงักไปชั่วครู่ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะรู้อะไรเกี่ยวกับ[ หยวนจินตัน ] ผลฤทธิยาอันลึกลับที่เปรียบเสมือนได้กับสมบัติอันล้ำค่า ที่สำนักหลักจะมอบให้กับเหล่าศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ถึงอย่างมันก็มิได้มีค่าอันใดสำหรับเขาเพราะมันใช้ได้เพียงแต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]หรือต่ำกว่าเท่านั้น ในขณะที่เขาได้ก้าวผ่าน[ ระดับขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]มานานแล้ว
       
          “ นี่พวกเขายินดีที่จะมอบมันให้กับเหล่าศิษย์ใหม่? นั่นมัน[ หยวนจินตัน ]เชียวมิใช่หรือ! ” ฉินมู้เจ้อ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ แต่ถึงแม้ว่า เย่ชีเหวิน จะมี[ หยวนจินตัน ]อยู่จริง มันก็มิได้ช่วยอะไรเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์การต่อสู้ในครั้งนี้ได้! ”
       
ฉินมู้เจ้อ ยังคงกล่าวอย่างเชื่อมั่น เพราะด้วยบุคคลส่วนใหญ่ที่มายังสถานที่แห่งนี้ต่างมีอุปนิสัยที่กล้าได้กล้าเสียและเหนือสิ่งอื่นใด เหตุผลที่พวกเขาได้ตัดสินใจให้มีการต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นนั่นก็เป็นเพราะพวกเขาต้องการที่จะขยี้ความเชื่อมั่นของเหล่าศิษย์ใหม่ที่คิดจะขัดคำสั่งของเหล่าศิษย์ผู้อาวุโส ตราบใดที่ผลของการต่อสู้ในครั้งนี้ เย่ชีเหวิน เป็นฝ่ายชนะแน่นอนว่า[พรรค เฉินยู้]ยังคงอยู่และศิษย์ผู้อาวุโสจะไม่ยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับพวกศิษย์ใหม่อีกต่อไป ในขณะที่หาก เย่ชีเหวิน เป็นฝ่ายพ่ายแพ้[พรรค เฉินยู้]ของพวกเขาจะต้องถูกยุบ และหลังจากนี้พวกเขาจะต้องทำตามคำสั่งของเหล่าศิษย์ผู้อาวุโสเพียงเท่านั้นโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ไม่ว่ามันจะขมขื่นมากแค่ไหนก็ตาม
       
นอกจากนี้เขายังทราบดีอยู่แล้วว่าศิษย์ใหม่ภายในปีนี้นั้นต่างเต็มไปด้วยเหล่าอัจฉริยะจำนวนมาก หากเขาสามารถดึงคนเหล่านั้นเข้าร่วมพรรคของเขาได้แล้วล่ะก็มันคงถือเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ฉะนั้นแล้วการประลองในครั้งนี้จึงถือได้ว่าเป็นโอกาสอันดีงามเพื่อผลประโยชน์ของพรรค จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ยอมรับการไกล่เกลี่ยของ จิงเยี้ยนหนาน
       
และในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง รองผู้บังคับบัญชาฝ่ายหลักของ[พรรค ฟู๋ตี่] โมฮัน ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
       
#########################################################

เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ
       
B1 : ไอ้เวรคุยทั้งตอน
B2 : เขาเรียกว่าการอุ่นเครื่อง
B1 : เครื่องหน้า[ม.]อะ[ก.]จะดูมวยโวย
B3 : อยากดูมวย[ม.]ก็ไปเปิด TV สิ Iควาย นี่เขาจะอ่านนิยายกัน Iโง่
B1 : ……
B4 : ตามนั้นเลยครับท่านผู้ชม
B1 : ชมหน้ามึ..ตู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

4 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม