บทที่ 119 - ขุนนางหนุ่ม

เหล่า[ เชื้อสายผสม ]ที่ถือเป็น 1 ใน 4 สำนักใหญ่แห่ง[ จักรวรรดิต้าเยว้ ] ศิษย์ของพวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่ฝึกฝน[เคล็ดวิชามนต์ดำ] นอกจากนี้มันยังได้มีข่าวลืออีกว่าเมื่อนานมาแล้วใน[ โลกแห่งการต่อสู้ที่แท้จริง ] มันไม่เคยมี[เคล็ดวิชามาร]มาตั้งแต่เริ่ม ซึ่งมันมีเพียงแต่[เคล็ดวิชามนต์ดำ]เท่านั้นที่อยู่มาก่อนและถูกฝึกฝนโดยมนุษย์
       
ตามตำนานเมื่อยามที่ปีศาจจากโลกปีศาจได้รุกรานมายัง[ โลกการต่อสู้ที่แท้จริง ]ของมนุษย์ มันก็ได้สร้างความเสียหายไว้เป็นจำนวนมาก การรุกรานของพวกมันก็เปรียบเสมือนได้ดั่งภัยพิบัติและในขณะเดียวกันที่การรุกรานของพวกมันได้กินระยะเวลาไปเป็นเวลานาน พวกมันก็ได้ประสบความสำเร็จในการหว่านเมล็ดพันธุ์[เคล็ดวิชาสายมาร]ของพวกมันลงสู่บน[ โลกการต่อสู้ที่แท้จริง ]ของพวกมนุษย์ ซึ่งส่งผลให้มีการดำรงอยู่ของพวกจอมยุทธมาร
       
เมื่อยามที่[ โลกแห่งการต่อสู้ที่แท้จริง ]ได้ถูกรุกรานโดยปีศาจ เหล่าจอมยุทธจำนวนมากต่างได้ตกเป็นเหยื่อในพลังอำนาจของพวกมัน พวกมันได้ทำให้พวกเขารู้สึกสับสนและสูญสิ้นศรัทธา จนในท้ายที่สุดพวกมันก็ได้เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นเหล่าจอมยุทธที่เลวทรามต่ำช้า อีกทั้งยังให้ริเริ่มฝึกฝน[เคล็ดวิชามาร] ซึ่งมันก็ประสบผลสำเร็จและมี[เคล็ดวิชามาร]มาจวบจนถึงทุกวันนี้
       
ใน[ โลกการต่อสู้ที่แท้จริง ] ผู้ที่[เดินทางสายมนต์ดำ]มิได้ถูกพิจารณาว่าเป็นพวกที่ชั่วช้า หากแต่ผู้ที่[เดินทางสายมาร]จะมิได้ถูกยอมรับในหมู่สังคมมนุษย์และผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครที่จะต้องการครอบครองวิชามาร เว้นเสียแต่มีอยู่ขุมพลังหนึ่งในหมู่ขุมพลังอำนาจทั้งหมดทั่วโลกมีอยู่เพียงแค่ขุมพลังเดียวเท่านั้นที่ได้ทำการเผยแพร่[เคล็ดวิชามาร]ให้กับเหล่าศิษย์ของตน ซึ่งพวกมันได้เป็นที่รู้จักกันในนาม[ลัทธิมาร]
       
[ลัทธิมาร]เป็นนามของขุมพลังอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ทำหน้าที่เผยแพร่ความเชื่อเรื่องปีศาจและเถิดทูลเหล่าปีศาจเหนือทวยเทพ อีกทั้งยังเชิญชวนเหล่าปีศาจให้มายึดครอง[ โลกการต่อสู้ที่แท้จริง ]ของมวลมนุษย์ นอกจากนี้การบ่มเพาะพลังของเหล่าบุคคลระดับสูงของ[ลัทธิมาร]หรือแม้กระทั่งราชันย์ปีศาจและยอดขุนพลตนอื่น ๆ พวกมันทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่มีการบ่มเพาะพลังอยู่ใน[ ระดับครึ่งขั้นดินแดนตำนาน จนไปถึง ระดับขั้นตำนาน]และยังมีความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะมีระดับสูงยิ่งกว่านั้น
       
เป้าหมายหลักของ[ลัทธิมาร] คือการหาวิธีเปิดประตูยมโลกเพื่อนำเหล่าพลพรรคมารจากโลกปีศาจมายัง[ โลกการต่อสู้ที่แท้จริง ] จึงไม่แปลกใจที่ทุกคนต่างต้องรู้สึกตื่นตระหนกอย่างฉับพลันเมื่อได้รับรู้ถึงการกลับมาของพวก[ลัทธิมาร]
       
มันได้ผ่านมาแล้วกว่าหลายศตวรรษที่[ลัทธิมาร]ได้ก่อความวุ่นวายไปทั่วทั้งราชอาณาจักรต้าเยว้ เหล่ากองกำลังน้อยใหญ่ต่างต้องร่วมมือกันเพื่อโค่นล้มพวกมัน
       
แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าในอีก 100 ปีให้หลังพวก[ลัทธิมาร]จะฟื้นคืนและกลับมาก่อความวุ่นวายอีกครั้ง
       
เกี่ยวกับ[ลัทธิมาร] ศิษย์หลายคนต่างมิได้มีการแสดงอาการที่ดีนัก หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดต่างมิได้มีใครต้องการที่จะเผชิญหน้ากับพวกมาร
       
จากนั้นข่าวลือต่าง ๆ มากมายของพวก[ลัทธิมาร]ก็ได้แพร่พรายไปทั่วทั้งสำนักยี่หยวน รวมถึงเรื่องเก่า ๆ ของพวกมันก็ยังถูกขุดคุ้ยขึ้นมาและกลายเป็นเรื่องพูดคุยกันของพวกเหล่าศิษย์
       
รวมทั้งหลายสำนักย่อยที่ได้ถูกโจมตีและหายตัวไปในระหว่างการเดินทางมาประเมินยังสำนักหลักก่อนหน้านี้ ก็ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของพวก[ลัทธิมาร]ด้วยเช่นกัน
       
การปรากฏตัวของขุมพลังอำนาจขนาดใหญ่และการกระทำอันฉาวโฉ่อย่างไม่ยั้งคิดเฉกเช่นเดียวกับการกระทำของพวก[ลัทธิมาร]จึงไม่มีทางที่จะคิดไปสิ่งใดอื่น ในเวลานี้ทั้งสำนักยี่หยวนและเหล่าขุมพลังอำนาจต่าง ๆ จำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันอีกครั้งเพื่อบดขยี้พวก[ลัทธิมาร]ให้สิ้นซาก
       
ทุกประเภทของภารกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับ[ลัทธิมาร] จะถูกแขวนไว้ที่[ วิหารคุณธรรม ]ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
       
อีกทั้งเงินรางวัลที่ได้จากภารกิจยังถือได้ว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก
       
สำหรับการฆ่าศิษย์ของพวก[ลัทธิมาร]ที่อยู่ใน[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อตั้ง ]จะได้รับค่าหัวเป็น 1 ศิลาวิญญาณระดับกลาง ส่วนสำหรับศิษย์[ลัทธิมาร]ที่อยู่ใน[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ]จะมีค่าหัวอยู่ที่ 10 – 100 ศิลาวิญญาณระดับกลางเป็นรางวัล
       
และตราบใดที่ไม่ว่าศิษย์คนไหนสามารถสังหารศิษย์[ลัทธิมาร]ที่มี[ ระดับขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ขึ้นไปพวกเขาจะได้รับ 100 – 1,000 ศิลาวิญญาณระดับกลาง
       
การฟืนคืนอย่างฉับพลันของพวก[ลัทธิมาร]ได้ก่อความวุ่นวายให้กับพวกสำนักใหญ่ ๆ อย่างสำนักยี่หยวนเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องขูดเลือดขูดเนื้อของตนเองและจ่ายศิลาวิญญาณออกไปในจำนวนมาก เพื่อลบล้างเหล่าขุมพลังอำนาจที่ชั่วร้ายอย่าง[ลัทธิมาร]ออกไปให้สิ้นซากจากโลกใบนี้
       
และสำหรับศิลาวิญญาณที่ถูกจ่ายเป็นรางวัลจำนวนมากในครั้งนี้ เย่ชีเหวิน ก็ยังรู้สึกยินดีและตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบมิได้ เพราะหากเทียบกับวิธีการของตัวเขาแล้ว นี่ถือได้ว่าเป็นการเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณที่รวดเร็วเป็นอย่างมาก ซึ่งมันอาจเติมเต็มความต้องการของเขาได้ อีกทั้งมันยังเป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดายเพียงแค่ฆ่าศิษย์ของพวก[ลัทธิมาร]ก็สามารถทำให้เขาได้รับศิลาวิญญาณมาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ไม่เพียงแค่ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นแต่ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเขาก็ยังเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน มันจึงกล่าวได้เพียงว่าภารกิจเหล่านี้สำหรับเขาแล้วมันคือคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
       
หลังจากที่ได้ตัดสิ้นใจ เย่ชีเหวิน ก็มิได้มีความลังเลใด ๆ อีกต่อไปและรีบเดินทางไปยัง[ วิหารคุณธรรม ]ของสำนักหลัก และไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เขาได้เดินไปถึงที่นั่น เขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นเสียทุกครั้งกับความยิ่งใหญ่และความสง่างามของมัน เมื่อเทียบกับ[ วิหารคุณธรรม ]ของพวกสำนักย่อยแล้วมันไม่มีสิ่งใดที่จะนำมาเปรียบเทียบกับความงดงามและความยิ่งใหญ่นี้ได้เลย
       
และเพราะเรื่องของ[ลัทธิมาร] จึงทำให้สำนักยี่หยวนนั้นได้รับภารกิจจำนวนมาก เหล่าศิษย์มากหน้าหลายตาต่างเดินทางมาที่[ วิหารคุณธรรม ]เพื่อรับภารกิจ โดยเฉพาะภารกิจในการกำจัดพวกศิษย์[ลัทธิมาร]
       
เย่ชีเหวิน เองก็ยังจับจ้องมองไปที่ภารกิจเหล่านี้ มีเมืองจำนวนมากภายใน[ จักรวรรดิต้าเยว้ ]ที่ต้องถูกรุกรานโดยเหล่าศิษย์[ลัทธิมาร] พวกมันได้ปรากฏตัวขึ้นและก่อความวุ่นวายไปทั่วบางส่วนในภูมิภาค อีกทั้งภารกิจเหล่านี้ยังได้มีความยากง่ายแตกต่างกันออกไป โดยธรรมชาติแล้วเหล่าศิษย์มักจะเลือกภารกิจที่เหมาะกับความสามารถของตัวเอง
       
ยิ่งกว่านั้นสำนักยี่หยวนยังได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะทันทีที่ได้ทราบข่าวถึงการกลับมาของพวก[ลัทธิมาร]พวกเขาก็ได้ส่งหลายร้อยศิษย์ที่แท้จริงออกไปจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วมากกว่าครึ่งในภารกิจที่มีความยากระดับสูง เพื่อจัดการกับพวก[ลัทธิมาร]ที่กระจัดกระจายอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ
       
เย่ชีเหวิน กวาดสายตามองผ่านภารกิจและพยายามเลือกที่คิดว่ามันมีความเหมาะสมกับเขามากที่สุดในการกำจัดพวกศิษย์จาก[ลัทธิมาร] เพราะภารกิจพวกนี้ไม่ว่าเขาจะเก่งมากแค่ไหนเขาก็เลือกได้เพียงแค่ภารกิจเดียวเท่านั้น แต่ในครั้งนี้เนื่องด้วยว่ามันเป็นภารกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับพวก[ลัทธิมาร] จึงถือได้ว่าเป็นภารกิจพิเศษและมีระยะเวลาที่ไม่จำกัด จวบจนกว่าเนื้อหาในภารกิจนั้นจะเสร็จสิ้น
       
เย่ชีเหวิน ก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อหมายที่จะจัดการให้เรื่องมันจบสิ้น เพราะหากเกิดความล่าช้าเขาจะสูญเสียโอกาสในการกอบโกยศิลาวิญญาณจำนวนมากในช่วงความวุ่นวายที่ถูกก่อขึ้นโดยพวก[ลัทธิมาร]
       
เย่ชีเหวิน ได้ก้าวเดินออกมาจาก[ วิหารคุณธรรม ] และขึ้นหุบเขามาถึงครึ่งทาง
       
          “ เจ้ามันคือคนที่ชื่อว่า เย่ชีเหวิน ใช่หรือไม่? ” ในช่วงเวลานั้นน้ำเสียงอันเย่อหยิ่งและดูถูกเหยียดหยามก็ได้ดังก้องมาจากด้านหลัง
       
เย่ชีเหวิน หันกลับและพบเห็นกลุ่มศิษย์ประมาณ 7 – 8 คน ยืนอยู่ห่างจากเขาไม่ไกลมากนัก พวกเขาได้ถูกนำมาโดยชายหนุ่มที่มีการแต่งกายที่ดูดีและสง่างามและมีใบหน้าที่เย่อหยิ่งพร้อมจับจ้องมาที่ เย่ชีเหวิน ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม แต่อย่างไรก็ตาม เย่ชีเหวิน ค่อนข้างที่จะรู้สึกประหลาดใจเมื่อเขาพบเห็นว่าเหล่าศิษย์ที่ได้อยู่เบื้องหลังชายหนุ่มที่มีใบหน้าเย่อหยิ่งผู้นี้คือ 7 ศิษย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้เข้ามาหาเรื่องเขาใน[ ดินแดนภูมิปีศาจมายา ]
       
อย่างที่เขากล่าวกันไว้ว่าโลกนั้นช่างแสนแคบที่ทำให้อดีตศัตรูต้องมาพบเจอกัน แม้แต่เริ่มทีในระหว่างพวกเขาทั้งสองฝ่ายจะมิได้มีความเป็นปฏิปักษ์กันมาแต่เริ่ม แต่ด้วยความขัดแย้งในครั้งนั้นจึงทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมาได้จวบจนวันนี้
       
          “ ใช่มันคือข้า! ” เย่ชีเหวิน กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
       
เย่ชีเหวิน เหลือบสายตาจับจ้องไปที่พวกเขา พลังจากที่เคล็ดวิชา[ หยุดรั้งลมหายใจ ]ได้พัฒนามาถึง[ ดินแดนที่ 4 ขั้นสูงสุด ] โดยไม่ต้องมีความพยายามใด ๆ เขาก็สามารถจับลมหายใจของพวกเขาทั้ง 8 ได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้เขาสามารถรับรู้ได้ถึงการบ่มเพาะพลังของพวกเขาได้ทั้งหมดและมันยังเป็นไปตามอย่างที่เขาคาดชายหนุ่มผู้ที่เป็นผู้นำกลุ่มนี้มีการบ่มเพาะพลังอยู่ที่[ ระดับขั้นเสี่ยวดินแดนลมปราณก่อเกิด ]
       
อีกทั้งความแข็งแกร่งของเหล่า 7 ผู้เชี่ยวชาญ หลังจากที่ได้เข้ารุมเล่นงานเขาที่[ ดินแดนภูมิปีศาจมายา ]ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างได้ชัด คือการบ่มเพาะพลังของพวกเขาในตอนนี้นั้นล้วนแล้วแต่อยู่ใน[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 3 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]
       
เหล่าศิษย์ต่างจับจ้องไปที่ เย่ชีเหวิน ด้วยสายตาอันคมกริบดุจใบมีด สายตาเหล่านั้นมันได้จับจ้องจนเหมือนราวกับมันได้มองทะลุผ่านร่างของเขาไป ตามคำบอกเล่าผู้เชี่ยวชาญบางคนสามารถใช้เพียงแค่สายตาก็สามารถฆ่าคนได้ ซึ่งมันก็มิได้เป็นคำพูดที่กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะมีอยู่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่ได้ใช้สายตาของพวกเขาในการโจมตีและสังหารผู้คน
       
          “ เย่ชีเหวิน เจ้ายืนอยู่ในด้านหน้าของท่านขุนนางน้อยแล้วยังไม่รีบคุกเข่าลงเพื่อคำนับอีก! ” ในหมู่ศิษย์ทั้ง 7 ชายหนุ่มร่างเล็กได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาต่อ เย่ชีเหวิน เพียงชั่วพริบตาความเกลียดชังก็ได้ประกายขึ้นภายในสายตาของเขา
       
          “ ช่างน่าขันที่นี่คือสำนักหลักยี่หยวนเจ้าคิดว่าอำนาจของเจ้าสามารถข่มขู่ข้าได้? ไม่ว่ามันจะเป็นใครหรือเป็นอะไรข้างก็ไม่มีวันคุกเข่าในด้านหน้าของใครไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น ” เย่ชีเหวิน กล่าวพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน
       
เย่ชีเหวิน คาดว่าเด็กราชวงศ์ของจักรวรรดิต้าเยว้มั่นเหมาะที่จะมีอยู่เป็นจำนวนมาก หากแต่นั่นก็มิใช่ว่าพวกคนเหล่านั้นจะเป็นทายาทสายตรงไปเสียทั้งหมด อย่างที่ทุกคนทราบว่าพวกทายาทสายตรงย่อมต้องมีทรัพย์สมบัติและเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมานับบรรพการณ์ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกทายาทสายตรงจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาและเล่าเรียนในพระราชวังเท่านั้นเพื่อไม่ให้เคล็ดวิชาลับที่สืบทอดกันมาของพวกเขารั่วไหลออกไปยังโลกภายนอก และมันก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไม่เด็กจากสาขาย่อยของตระกูลพวกเขาจึงจำเป็นต้องไปหวังพึ่งขุมพลังอำนาจจากนิกายหรือสำนักอื่น ๆ
       
ฉะนั้นแล้วสำหรับเหล่าผู้ที่กล่าวตนว่าเป็นขุนนาง ก็มิต่างอะไรไปจากผู้ที่ป่าวประกาศฐานะของตนเพื่อข่มขู่ผู้อ่อนแอ!
       
นอกจากนี้สำนักหลักยี่หยวนยังถือเป็น 1 ในขุมพลังอำนาจขนาดใหญ่ที่มีอำนาจเทียบเท่าได้กับราชวงศ์ของ[ จักรวรรดิต้าเยว้ ] เมื่อต้องพบเจอกับการประกาศสถานะของตนเองเช่นนี้แล้วสำหรับศิษย์ของสำนักยี่หยวนมันถือได้ว่าเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี
       
          “ ข้าได้ยินมาว่าเจ้านั้นเป็นบุคคลที่หยิ่งผยองโดยเฉพาะในหมู่ศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่อ้างว่าตนเปรียบเทียบได้กับพวกศิษย์เมล็ดพันธุ์ แต่ข้ามิคาดคิดเลยว่าเจ้ามันจะยิ่งผยองเสียยิ่งกว่าในข่าวลือเสียอีก ” ขุนนางหนุ่มกล่าว
       
          “ ดีถ้าเช่นนั้นทำไม่ท่านขุนนางหนุ่มไม่ไสหัวไปทำธุระของท่านเสีย ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องมาเสียเวลากับคนอย่างข้าเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งข้าจะบอกท่านว่าการใช้อำนาจในฐานะของตนภายในสำนักหลักยี่หยวนเช่นนี้มันช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันสิ้นดี ” เย่ชีเหวิน กล่าวด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงเย้ยหยัน ราวเหมือนกับว่าขุนนางหนุ่มผู้นี้มิได้มีค่าอะไรที่ทำให้เขาจะต้องสนใจ
       
          “ เจ้ารนหาที่ตาย! ” ขุนนางหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น พร้อมพุ่งกระโจนเข้าใส่ เย่ชีเหวิน
       
ปล. วิหารบุญ หรือ วิหารแสวงบุญ หลังจากนี้จะถูกเปลี่ยนเป็น วิหารคุณธรรม นะจร๊จะบอกให้
       
#########################################################

เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

B1 : เจ้ารนหาที่ตาย!!! [ก.]เห็นศพที่แล้วมันก็พูดแบบเนี้ย ไม่ตายก็โดนปล้นมีอยู่ 2 อย่าง อะ+ นอนกองด้วยอีก 1 ดูซิจะเป็นอย่างไหน
B2 : แล้วอีก 7 ตัวที่เหลือจะมีชะตากรรมเช่นไร
B4 : โปรดติดตามได้ในตอนหน้า
B3 : พวก[ม.]แม้งไม่น่ามาเลยจริง ๆ นะ
B4 : บางทีค่าตัวมันอาจถูกก็ได้เลยถูกจ้างมา 2 รอบไง
B1,B2 : 5555 ไอ้ตัวประกอบราคาถูก
B3 : = =*

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

4 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม