บทที่ 123 - ลอบโจมตีเจ้าชาย โม่เหยียน

เหล่าปีศาจที่ได้อาระวาดอย่างบ้าคลั่งในช่วงเวลาก่อนหน้าต่างก็มิใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าการบ่มเพาะพลังของเขานั้นมั่นเหมาะที่จะอยู่ในระดับที่สูงกว่า[ จุดสูงสุดขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ] และด้วยความแข็งแกร่งของเขามีความเป็นไปได้ว่าเขานั้นมั่นเหมาะที่จะเป็นศิษย์ฝ่ายหลักด้วยเช่นกัน

โดยการใช้เพียงแค่คำพูดก็สามารถทำให้คลื่นชั้นบรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นสะเทือนได้ ราวกับคลื่นของมหาสมุทร ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่จะสามารถกระทำการเช่นนี้ได้มั่นเหมาะที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]อย่างแน่นอน

แม้ว่า เย่ชีเหวิน เองจะสามารถสร้างคลื่นสั่นสะเทือนขนาดใหญ่กับชั้นบรรยากาศได้ด้วยกำปั้นของเขา หากแต่เขาไม่สามารถทำมันได้โดยใช้เพียงแค่เสียง เพราะการที่จะปลดปล่อยแรงกดดันออกไปพร้อมกับเสียงจนก่อให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนกับชั้นบรรยากาศได้นั้น มีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]หรือสูงกว่านั้นเพียงเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้

นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดถึงความแข็งแกร่งและความน่าสะพรึงกลัวของผู้เชี่ยวชาญระดับสูง

          “ ตัวข้า เย่ชีเหวิน ขอขอบคุณศิษย์พี่ที่ได้ให้ความช่วยเหลือ! ” เย่ชีเหวิน เดินเข้าหาชายหนุ่มในขณะที่กล่าวพร้อมป้องมือขึ้นระหว่างอก แม้ว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือตนเองได้โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากใคร แต่ไม่อย่างไรก็ตามชายหนุ่มผู้นี้ก็ได้กระทำการช่วยเหลือเขาเอาไว้ ฉะนั้นเขาจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงออกถึงความกตัญญูของเขา

          “ เจ้าคือ เย่ชีเหวิน? ” ชายหนุ่มจับจ้องสายตาของเขาไปที่ เย่ชีเหวิน ราวเหมือนกับเขาได้รู้อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับ เย่ชีเหวิน และในขณะนั้นเองเขาก้ได้กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ สมแล้วแก่ชื่อเสียง ช่างนับว่าเป็นที่มหัศจรรย์ยิ่งที่เจ้าสามารถเดินทางมาที่พื้นที่รกล้างนี้ได้เพียงลำพัง อีกทั้งยังเผชิญหน้ากับพวกศิษย์ลัทธิมารอีกเป็นจำนวนมาก ข้าขอกล่าวตามตรงแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นเสี่ยวดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ก็ยังมิอาจทำได้เช่นเจ้า ”

          “ ศิษย์พี่กล่าวชมข้าเกินไป ” เย่ชีเหวิน มิแปลกใจเลยที่เห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขา เพราะไม่นานมานี้ชื่อเสียงของเขาได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากภายในระยะเวลาสั่น ๆ อย่างฉับพลันภายในสำนักยี่หยวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาได้เอาชนะ โมฮั่น ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ศิษย์ฝ่ายใน แต่เขาก็ถือว่ามีชื่อเสียงไม่น้อยในหมู่ฝ่ายหลัก

ศิษย์หลักมักจะให้ความสนใจกับบุคคลที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษและมากไปด้วยความสามารถเช่นเดียวกับ เย่ชีเหวิน อย่าลืมว่าศิษย์เมล็ดพันธุ์และศิษย์ที่เทียบเท่าได้กับเมล็ดพันธุ์นั้นล้วนมีการบ่มเพาะพลังตั้งแต่[ จุดสูงสุดขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]จนไปถึง[ ระดับขั้นเสี่ยวดินแดนลมปราณก่อเกิด ] ซึ่งมันมิอาจรู้ได้เลยว่าพวกเขาจะสามารถก้าวข้ามประตู่ธรณีของตนแล้วก้าวขึ้นมาเป็น[ ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]แล้วกลายเป็นศิษย์หลักได้เมื่อใด ฉะนั้นแล้วย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เหล่าศิษย์หลักมักจะให้ความสนใจแก่พวกเขา

          “ กำลังของคนเพียงคนเดียวไม่อาจเทียบเท่ากับกำลังคนนับสิบคนได้ ด้วยความแข็งแกร่งของศิษย์น้องเย่ เจ้าพอจะมีเวลาว่างให้พวกข้าได้ยืมกำลังของเจ้าได้หรือไม่? ” ชายหนุ่มเริ่มที่จะอธิบายและพูดคุยกับ เย่ชีเหวิน

หลังจากที่ได้พูดคุยกัน เย่ชีเหวิน ก็ได้รู้มาว่าชายหนุ่มผู้นี้นั้นมีนานว่า จูเก้อชิงลี่ และเขาเป็นศิษย์หลักของสำนักยี่หยวน ซึ่งทั้งยังได้รับภารกิจจากสำนักหลักโดยตรงให้ไปกำจัดพวก[ศิษย์ลัทธิมาร] เหล่าศิษย์หลักในจำนวนไม่กี่ตนต่างรวมตัวกันเพื่อซุ่มโจมตี 1 ในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดผู้หนึ่งในหมู่[ศิษย์ลัทธิมาร]นามว่าองค์ชาย โม่เหยียน

องค์ชาย โม่เหยียน ถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากผู้หนึ่งและเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่[ศิษย์ลัทธิมาร] อีกทั้งยังเคยมีข่าวลือว่าเขามีเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งเป็นของตนเอง แต่ต่อมาหลังจากที่เขาได้ถูกนำเข้าไปสู่โลกของพวก[ลัทธิมาร] เมืองเล็ก ๆ ของเขาก็ค่อย ๆ ตายลงอย่างช้า ๆ ความเจริญรุ่งเรืองได้ตกต่ำถึงขีดสุด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มิได้เหลียวแลและยังคงเฝ้าฝึกฝนตามหลักคำสอนของพวก[ลัทธิมาร]ต่อไป จนในที่สุดเขาก็ได้ก้าวขึ้นเป็น 1 ในศิษย์ฝ่ายหลักของพวก[ลัทธิมาร]และถูกยกย่องว่าเป็นบุคคลสำคัญผู้หนึ่งของพวก[ศิษย์ลัทธิมาร]

ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับการเคลื่อนไหวของพวก[ศิษย์ลัทธิมาร]ในครานี้เขาย่อมต้องมีบทบาทสำคัญสำคัญเป็นแน่ ฉะนั้นมันจะเป็นการดีกว่าหากสามารถจัดการเขาลงได้อย่างรวดเร็วที่สุด

ด้วยเหตุนี้ จูเก้อชิงลี่ และพรรคพวกจึงได้ร่วมมือกันเพื่อที่จะรอบสังหารองค์ชาย โม่เหยียน โดยที่ จูเก้อชิงลี่ นั้นต้องการให้ เย่ชีเหวิน เข้าร่วมกับด้วย แม้ว่าเขาจะมีกำลังคนอยู่ไม่น้อย แต่การจะจัดการกับองค์ชาย โม่เหยียน นั้นมิใช่เรื่องง่าย เขาจึงจำเป็นต้องผนึกกำลังของผู้ที่แข็งแกร่ง ยิ่งมีกำลังคนมากเท่าใดโอกาสที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จก็ยิ่งมีมากเท่านั้น

นี่เป็นความคิดที่ดีมากที่สุดในยามนี้ เพราะในตอนนี้ จูเก้อชิงลี่ ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ที่ตัดสินใจทุกสิ่งอย่างเป็นการชั่วคราว และตามที่เขาได้คาดการณ์ไว้มีความเป็นไปได้ที่องค์ชาย โมเหยียน จะเดินทางผ่านเส้นทางนี้ ฉะนั้นเขาจึงจำเป็นต้องลงภาคสนามด้วยตรงเอง เพื่อส่งคำเตือนไปยังเหล่าศิษย์ที่อยู่ในบริเวณนี้ให้รับถอยห่างออกไป และเหตุผลที่เขาไม่เลือกวิธีที่จะใช้สัญญาณในการบอกกล่าว นั่นก็เป็นเพราะว่าเขากลัวพวก[ลัทธิมาร]มันจะไหวตัวทันเสียก่อน

องค์ชาย โม่เหยียน ก็เปรียบเสมือนดั่งปลาตัวใหญ่ที่มีค่าหัวถึง 50,000 ศิลาวิญญาณระดับกลาง ซึ่งการจะหาศิษย์ฝ่ายหลัก[ลัทธิมาร]เช่นเขาได้อีกก็ช่างนับได้ว่าหาได้ยากยิ่ง นอกจากนี้พวกมันยังคงมีผู้บริหารระดับสูงคอยหนุนหลัง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของพวกศิษย์ระดับสูงของพวก[ลัทธิมาร]แถบที่จะไม่เป็น 2 รองใคร

เย่ชีเหวิน จึงตัดสินใจยอมรับข้อเสนอของ จูเก้อชิงลี่ เพราะเดิมที่เขาก็ไม่พอใจต่อการกระทำของพวก[ศิษย์ลัทธิมาร] พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยง เย่ชีเหวิน จึงยินดีเข้าร่วมเพื่อที่จะกำจัดพวกมัน

หลังจากที่ได้ทำข้อตกลง เย่ชีเหวิน จึงได้เริ่ม[สวดส่งวิญญาณของเหล่าบุคคลที่ตายไป] เพื่อให้เหล่าวิญญาณที่ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมและไร้ความปราณีไปสู่สุขติ โดยฝีมือของพวก[ศิษย์ลัทธิมาร]ที่แสนชั่วช้า แม้ว่าเขาจะทราบดีอยู่แล้วว่าเหล่าวิญญาณของบุคคลเหล่านั้นจะถูกกลื่นกินไปแล้วโดยพวกมัน หากแต่กลิ่นอายแห่งความเกียจชังและความเครียดแค้นยังคงอยู่เขาจึงจำเป็นที่จะต้องชำระล้าง เพราะหากปล่อยทิ้งเอาไว้สถานที่แห่งนี้ก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่มืดมนและเป็นที่สะสมของพลังงานเชิงลบ หากพลังงานเชิงลบมีมากขึ้นมันจะกลายเป็นที่มั่วสุมของพวกเหล่าปีศาจและมีความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นอันตรายต่อชาวบ้านปกติที่ย่างกลายเข้ามาภายในเขตพื้นที่แห้งนี้

นานมาแล้วในช่วงก่อตั้งจักรวรรดิต้าเยว้ได้มีการก่อรัฐประหารขึ้น เหล่าทหารกว่าหลายร้อยหลายพันนายตกตายไปในสนามรบอย่างน่าสยดสยอง และในช่วงความวุ่นวายนั้นมันไม่มีเวลามากพอให้ใครมาสวดส่งวิญญาณของพวกเขาให้ไปสู่สุขติ ด้วยความเครียดแค้นที่ตนต้องถูกสังหารลงอย่างน่าสังเวชได้กลายเป็นบ่อเกิดให้ความเครียดแค้นและพลังงานเชิงลบ ในขณะที่สงครามยังคงดำเนินต่อไปความเครียดแค้นและพลังงานเชิงลบก็ดีแต่จะเพิ่มมากขึ้น แล้วเมื่อมันมาจนถึงขีดสุดของมันเหล่าวิญญาณของผู้ที่ตายไปก็กลายเป็นวิญญาณที่ชั่วร้าย แม้ว่าในขณะนั้นจะเป็นในยามช่วงที่ตะวันเจิดจ้าแต่บรรยากาศโดยรอบก็จะส่งถึงความรู้สึกที่เย็นยะเยือก หากมีผู้คนอยู่ที่บริเวณนั้นก็จะปรากฏไอเย็นออกมาจากปากของพวกเขา ด้วยวิญญาณจำนวนมากที่ตกตายไปด้วยความเครียดแค้นก็จะก่อให้เกิดเป็นพลังงานเชิงลบหากมันสะสมกันมากเกินไป แม้ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งก็ยังต้องรู้สึกหวาดกลัว

แม้ว่ามันอาจจะเป็นการกล่าวที่เกินจริงไปบ้าง แต่เนื่องจากที่ เย่ชีเหวิน ได้อยู่ที่นี่แล้ว โดยธรรมชาติเขาไม่สามารถปล่อยปะละเลยมันไปได้

หลังจากที่เสร็จสิ้นการ[สวดส่งวิญญาณของเหล่าบุคคลที่ตายไป] กลิ่นอายของความไม่พอใจและขับข้องใจที่แฝงอยู่ภายในชั้นบรรยากาศก็ได้จางหายไป ไม่หลงเหลือกลิ่นอายของความเกลียดชังและพลังงานเชิงลบใด ๆ อีก ภายในแสงตะวันที่สอดส่องไม่นานนักเหล่าบรรยากาศที่มืดมนและหม่นหมองก็ได้จางหายไป

เย่ชีเหวิน ได้ติดตาม จูเก้อชิงลี่ ขึ้นไปบนนกอินทรีของเขา ด้วยระยะเวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็ได้มาถึงการประชุมของพวกเหล่าศิษย์หลัก

ด้านหลังของเนินเขา ต่างลอบล้อมไปด้วยศิษย์ของสำนักยี่หยวนกว่า 20 คน ซึ่งถูกนำโดย 3 ศิษย์ฝ่ายหลัก ภายใต้การแนะนำของ จูเก้อชิงลี่ , เย่ชีเหวิน ได้จับจ้องไปที่ชายหนุ่มที่มีรูปร่างลักษณะอ้วนเตี้ย บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นพวกเขาค่อนข้างที่จะมีชื่อเสียงภายในหมู่ศิษย์ฝ่ายหลักด้วยกัน ซึ่งผู้คนต่างเรียกเขาว่า เสี่ยวจิน มันอาจกล่าวได้ว่าเขาคือพ่อค้าจากตระกูลชั้นสูง เขาได้รับการยอมรับว่ามีความแข็งแกร่งมากผู้หนึ่ง หากแต่ความสามารถทางด้านการค้าและผู้ประกอบการของเขานั้นมีมากเสียยิ่งกว่าความแข็งแกร่งของตัวเขาเองเสียอีก เขาจึงมักถูกรายล้อมไปด้วยศิษย์มากมาย

ถัดจาก เสี่ยวจิน เป็นอิสตรีงามผู้เล่อโฉมในเสื้อผ้าชุดคลุมสีดำทมิฬที่ดูเหมือนจะมีอายุราวประมาณ 20 ปี ทั้งนางยังเป็นศิษย์ฝ่ายหลักที่มีนามว่า เชว่หย้วน

ถัดจาก เชว่หย้วน ก็เป็นชายหนุ่มในเสื้อผ้าชุดคลุมที่ฟ้าครามและมีดาบอยู่ในมือ เช่นกันเขาคือศิษย์ฝ่ายหลักมีนามว่า เจิ้งยี่เจา หากแต่เขานั้นมิได้มีชื่อเสียงเหมือนดั่งคนอื่น ๆ และเป็นเพียงแค่ศิษย์ฝ่ายหลักธรรมดาเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขา

ในครานี้พวกเขาทั้งหมดได้ร่วมมือกันเพื่อรับภารกิจในการลอบโจมตีองค์ชาย โมเหยียน ซึ่งแน่นอนว่าพวกนำกลุ่มคือพวกเขาและศิษย์คืนอื่น ๆ อีกกว่า 20 คน หากแต่พวกเขาทุกคนล้วนมิใช่ศิษย์ธรรมดา แต่เป็นศิษย์ที่ถูกยอมรับโดยศิษย์หลักเพื่อเข้ามารับหน้าที่สำคัญในภารกิจครั้งนี้ พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีลมหายใจและกลิ่นอายที่สง่างาม ความแข็งแกร่งของพวกเขาถูกจัดว่าอยู่ในระดับสูง ผู้ที่อ่อนแอที่สุดคือผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]นอกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นเสี่ยวดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับเหล่าศิษย์เมล็ดพันธุ์ของศิษย์ฝ่ายใน หากแต่หน้าที่ของพวกเขาในครานี้นั้นเป็นเพียงแค่กองกำลังสนับสนุน

แต่หากไม่มีพวกเขาคนใดรู้ไม่พอใจปรากฏออกมาทางใบหน้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขาต่างรู้แจ่มแจ้งดีอยู่แล้วถึงความสำคัญขององค์ชาย โมเหยียน ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของพวก[ศิษย์ลัทธิมาร] หากเขายังคงฝึกฝนอยู่ภายใน[ลัทธิมาร]ต่อไปเช่นนี้

แต่ในทันทีที่พวกเขาได้รับรู้ว่าผู้ที่มาใหม่นั้นคือ เย่ชีเหวิน มันก็ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย หลังจากที่พวกเขาได้ยินชื่อเสียงอันน้อยนิดของ เย่ชีเหวิน มาอยู่บ้าง หากแต่ก็มิได้คาดคิดว่า เย่ชีเหวิน จะมามีส่วนร่วมในภารกิจที่สำคัญเช่นนี้ด้วย

#########################################################
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

B1 : เหอะ ๆ ชื่อเสียงอันน้อยนิด? เดี้ยวรู้เลยรอจบศึกนี้ก่อนสิ ไม่น้อยแน่
B2 : ถ้าได้เห็นความเก่งกาจที่แท้จริงของพี่เหวินระวังจะพูดไม่ออก
B3 : เหอะ เหอะ เหอะ ขอให้ตายไม่ก็เจ็บหนัก
B4 : ครั้งนี้ปีศาจจะโพล่มาตายกันกี่ตัวกันนะ

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

คลิกโฆษณาสนับสนุนกันได้ที่นี่เลยน้า

2 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม