บทที่ 127 - เจ้าใช่ไหมที่สังหาร ลู่เทียน

แต่ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงร้องโหยหวนดังกึกก้องมาจากขอบฟ้าไกล

ราวเหมือนกับว่ามันเป็นเสียงร้องโหยหวนจากท้องฟ้าเสียเอง แต่แทบจะในทันทีเสียงร้องโหยหวนนั้นมันยังคงดังมากขึ้นและใกล้พวกเขาเข้ามาเรื่อย ๆ ชั้นบรรยากาศโดยรอบเริ่มที่จะสั่นเท่า ราวเหมือนกับว่ามันกำลังมีอะไรที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจพุ่งตรงมาทางพวกเขา

ใบหน้าของพวกเขาทุกคนต่างบูดบึ่งอย่างฉับพลัน เพราะความสามารถของบุคคลดังกล่าวมั่นเหมาะที่จะอยู่ในระดับที่สูงมากและห่างไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถจิตนาการได้ มิเช่นนั้นคงไม่ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่อชั้นบรรยากาศรุนแรงถึงเพียงนี้ และแน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้มิใช่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิด ]จะสามารถทำได้

ผู้เชี่ยวชาญดินแดนลมปราณแท้จริง!

ใบหน้าขององค์ชาย โมเหยียน กับบูดบึ่งเสียยิ่งกว่าเก่า เพราะเสียงโหยหวนที่เขาได้ยินนั้นมันทำให้เขาได้รับรู้ว่านั่นมิใช่ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของลัทธิมาร จึงทำให้เขารีบตัดสินใจและกระโดดขึ้นบนหลังของสัตว์ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดพลางตะโกนกล่าวว่า " ถอบทัพ! "

น้ำเสียงขององค์ชาย โมเหยียน ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามรบ ไม่มีใครที่ไม่ได้ยินเสียงของเขาทั้งมารยักษ์ใหญ่หรือแม้แต่เหล่าสานุศิษย์ลัทธิมารต่างก็เชื่อฟังในคำสั่งและแยกย้ายกันถอยหนีในทันที โดยไม่สนใจว่าศัตรูของพวกเขาจะตามมาหรือไม่

          " เราควรที่จะไรตามพวกมันไป? " เสี่ยวจิน กล่าวถาม

          " นั่นอาจมิใช่ความคิดที่ดีนัก เราไม่ควรที่จะไล่ตามศัตรูโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง การที่พวกมันถอยหนีไปเช่นนี้นั่นคงเป็นเพราะพวกมันหวาดกลัวต่อศิษย์พี่ลู่หาใช่พวกเราไม่ " จูเก้อชิงลี่ ว่ากล้าวในขณะที่จับจ้องไปที่องค์ชาย โมเหยียน ที่ล่าถอยออกไปในขณะนี้

เสี่ยวจินเองก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนถึงความน่ากลัวของศิษย์ที่แท้จริงนามว่า ลู่ยี่ฟาน

เย่ชีเหวิน มองไปยังร่างที่กำลังถอยหนีไปอย่างรวดเร็วขององค์ชาย โมเหยียน พร้อมกับลูกสมุนของมันพลางถอดถอนหายใจ เขาได้รับรู้แล้วว่าองค์ชาย โมเหยียน นั้นเป็นคนหัวรุนแรงและมีความทะเยอทะยานสูงทั้งยังมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดในการสังหารศัตรูและล่าถอยเมื่อต้องเผชิญอันตรายโดยที่เขาไม่เสียเวลาคุ่นคิดเลยแม้แต่น้อย

หารตัดสินใจที่รวดเร็วและเด็ดขาดพร้อมกับสัญชาตญาณที่เฟี้ยมโหดนั่นอาจกล่าวได้ว่าเขาจะเป็นศัตรูที่จัดการได้ยากผู้หนึ่งในอนาคต!

แต่อย่างไรก็ตาม เย่ชีเหวิน ก็ไม่ได้เสียเวลาคุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นานนัก เพราะว่าตอนนี้ได้มีร่างของบุคคลหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอยู่บนกิ่งไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากตัวเขามากนัก และมันคือความจริงที่ว่าเขาเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาราวประมาณ 28 - 29 ปี แต่กลับมีกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกแพร่ออกมาจากร่างของเขา

          " ศิษย์พี่ลู่! "

          " ท่านผู้อาวุโส ลู่ยี่ฟาน! "

          " ศิษย์พี่ลู่! "

จูเก้อชิงลี่ และอีก 3 สานุศิษย์ฝ่ายหลักที่เป็นผู้นำกลุ่มต่างว่ากล่าวทักทาย แต่สำหรับศิษย์ฝ่ายในนั้นพวกเขาค่อนข้างที่จะลังเลเล็กน้อยหลังจากที่สังคมของพวกเขานั้นถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เพียงแค่เฉพาะศิษย์ฝ่ายในกับศิษย์ฝ่ายหลักนั้นก็นับว่ามีความห่างเหินกันมากพออยู่แล้ว ยิ่งศิษย์ที่แท้จริงย่อมมิต้องกล่าวถึง เพียงแค่การพบหน้ายังนับได้เลยว่าเป็นเรื่องยาก หากมิใช่คนที่ใกล้ชิดกลับพวกเขาจริง ๆ แล้วล่ะก็มันคงเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนธรรมดาสามัญอย่างพวกเขาจะสามารถเข้าใกล้หรือเข้าพบศิษย์ที่แท้จริงได้

          " ช่างนับว่าโชคดีนักที่ศิษย์พี่ลู่ได้อยู่ในบริเวณอันใกล้และได้เข้ามาช่วยเหลือพวกเราเอาไว้ เพราะหากมิเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็พวกเราคงต้องประสบปัญหาใหญ่เป็นแน่ " จูเก้อชิงลี่ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคารพ

          " ใช่แล้วต้องขอบคุณศิษย์พี่ลู่ เป็นเพราะการมาของท่านทำให้องค์ชาย โมเหยียน ตกอยู่ในอาการหวาดกลัวจนมันต้องถอยหล้นกองทัพของพวกมันถอยหนีกลับไป " เสี่ยวจิน กล่าวด้วยลักษณะที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้นั้นอาจกล่าวได้ว่าย่ำแย่ถึงขีดสุด เพราะด้วยลำพังกำลังของศิษย์ฝ่ายในย่อมมิอาจต้านทานกำลังของพวกมันได้ ยิ่งการต่อสู้ของพวกศิษย์ฝ่ายหลักด้วยแล้วยิ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ยิ่งกว่า หากการต่อสู้ยังคงยืดเยื้อต่อไปพวกเขาคงต้องพ่ายแพ้ลงอย่างแน่นอน แม้ว่าทางศิษย์ฝ่ายในจะมี เย่ชีเหวิน ที่มีความก้าวหน้าโดยไกล หากแต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะช่วยพลิกกระแสสงครามของพวกเขา

ลู่ยี่ฟาน ที่ได้จับจ้องไปที่ซากศพของพวกศิษย์ลัทธิมาร ร่องรอยแห่งความรังเกลียดก็ได้ปรากฏขึ้นภายในดวงตาของเขา

          " พวกศิษย์ลัทธิมารได้มีการเตรียมการเอาไว้อย่างดีอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งพวกมันยังได้ส่งผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาขัดขวางข้า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดข้าถึงได้มาช้านัก " ลูยี่ฟาน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

และในเวลานั้นเองก็ได้ปรากฏหลายเงาทอดยาวมาจากขอบฟ้าไกล พวกเขาได้ขี่นักยักษ์ปีศาจและล่อนลงมาจากท้องฟ้า ซึ้งแต่ละบุคคลนั้นล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ยากเกินจะหยั่งถึงทั้งมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม ควนมแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งหมดมั่นเหมาะที่จะอยู่บนจุดสูงสุดของเหล่าสานุศิษย์ฝ่ายหลัก

          " ศิษย์พี่ลู่ เราได้สังหารพวกศิษย์ลัทธิมารจนหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งเรายังจับได้ปลาตัวใหญ่อย่างผู้อาวุโสของศิษย์ลัทธิมาร เราจะส่งมันไปที่จักรวรรดิเลยดีรึไม่ " ศิษย์หลักผู้หนึ่งในกลุ่มกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

เย่ชีเหวิน และศิษย์คนอื่น ๆ ต่างอุทานออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้แต่ผู้อาวุโสของศิษย์ลัทธิมารก็ยังต้องพ่ายแพ้ลงด้วยน้ำมือของ ลูยี่ฟาน อาจจะต้องกล่าวก่อนว่าผู้อาวุโสของศิษย์ลัทธิมารในจักรวรรดิต้าเยว้นั้นมีความแข็งแกร่งที่เทียบเท่าได้กับเหล่าศิษย์ที่แท้จริง

ศิษย์ที่แท้จริงหรือเป็นที่รู้จักกันในนามของเซียนที่มีความหมายว่าผู้หวนคืนสู่ความเทียงแท้ของสัจธรรม ผู้บรรลุและมีวิธีการที่จะจัดการกับบุคคลทางโลก!

จะนับประสาอะไรกับเหล่าศิษย์ฝ่ายใน แม้ต่อให้เป็นศิษย์ฝ่ายหลักก็ยังต้องแหงนหน้าขึ้นมองเหล่าศิษย์ที่แท้จริง

ยิ่งไปกว่านั้นทั้งที่เป็นถึงผู้อาวุโสแต่กลับต้องตายลงด้วยน้ำมือของ ลูยี่ฟาน ในระยะเวลาอันสั้น มันก็ได้บ่งบอกให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอันมหาศาลของ ลู่ยี่ฟาน แล้วว่ามีมากมายเพียงใด ซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่าศิษย์ธรรมดาสามัญเช่นพวกเขานั้นมิอาจที่จะเข้าใจได้

ในคราแรก เย่ชีเหวิน ได้คุ่นคิดว่าเหตุใดพวกศิษย์ลัทธิมารถึงได้กล้าวางท่าและเข้าล้อพวกเขาโดยที่มิได้เกรงกลัวว่าศิษย์ที่แท้จริงอย่าง ลู่ยี่ฟาน จะมาถึง นั่นก็เพราะว่าพวกมันได้ส่งผู้เชี่ยวชาญระดับสูงไปจัดการกับ ลู่ยี่ฟาน แล้วนั่นเอง หากแต่พวกมันคงมิได้คาดคิดว่า ลู่ยี่ฟาน จริงจะสามารถจัดการกับผู้เชี่ยวชาญของพวกมันได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้

       " ไอ้พวกชั่วช้าพวกมันช่างกล้านักที่ได้สร้างหลุมพรางเพื่อที่จะสังหารเหล่าศิษย์สำนักยี่หยวนของข้า " ลู่ยี่ฟาน กล่าวด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่ดูถูกเหยียดหยาม

จูเก้อชิงลี่ ได้เริ่มแนะนำเหล่าศิษย์ฝ่ายในให้กับ ลู่ยี่ฟาน ได้รู้จัก ซึ่งใบหน้าของเหล่าศิษย์ฝ่ายในนั้นก็ได้แสดงออกถึงความรู้สึกตื่นเต้นยินดี หลังจากผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้นั้นคือศิษย์ที่แท้จริง

ลู่ยี่ฟาน เองก็ได้แสดงออกให้เห็นถึงความรู้สึกสนอกสนใจอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อการแนะนำได้ทอดยาวมาถึง เย่ชีเหวิน ดวงตาของ ลู่ยี่ฟาน นั้นก็ได้เบิกกว้างพร้อมจับจ้องไปที่ เย่ชีเหวิน ด้วยกลิ่นอายอันน่าหวาดกลัวที่แพร่ออกมาจากร่างของเขากดทับลงบนร่างของ เย่ชีเหวิน

ภาพนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับเหล่าศิษย์ทุกคนที่ยืนอยู่ในสนามรบ พวกเขาต่างตกตะลึงและไม่เข้าใจว่าเหตุใดศิษย์ที่แท้จริงอย่าง ลู่ยี่ฟาน ถึงได้โจมตีเข้าใส่ เย่ชีเหวิน ที่เป็นเพียงแค่ศิษย์ฝ่ายใน ซึ่งผู้ที่ตกตะลึงที่สุดก็คงหนีไม่พ้น จูเก้อชิงลี่ และเหล่าศิษย์หลักคนอื่น ๆ แม้ว่า เย่ชีเหวิน จะมีความก้าวหน้าโดยไกลที่สามารถยืนทัดเทียมได้กับเหล่าศิษย์หลัก หากแต่ด้วยความแข็งแกร่งเพียงน้อยนิดของเขานั้นมิอาจเทียบได้เลยกับการดำรงอยู่ของ ลู่ยี่ฟาน

เย่ชีเหวิน รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวกดทับลงบนร่างของเขา ในขณะเดียวกันพลังปราณหยวนภายในร่างของเขาก็ได้เริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง เพื่อต่อต้านแรงกดดันและกลิ่นอายอันน่าหวาดกลัวของ ลู่ยี่ฟาน

ถ้าหากมิได้เปลี่ยนแปลงพลังปราณเข้าสู่พลังปราณหยวนแล้วล่ะก็ ภายในร่างของเขาในตอนนี้คงไม่อาจต้านทานแรงกดดันของ ลู่ยี่ฟาน ได้เป็นแน่ และอาจถึงขั้นที่ทำให้เขาต้องคุกเข่าลง มันราวเหมือนกับว่าเขาในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ดุร้ายจากบรรพกาลท่มีคมเขี้ยวอันแหลมคมและกามอันกล้าแกร่งกดทับลงมาบนร่างของเขา

ร่างกายของ เย่ชีเหวิน ดูราวเหมือนถูกบดขยี้ด้วยความแข็งแกร่งอันมหาศาล กระดูกของเขาเริ่มที่จะส่งเสียงปริแตกออกมา

          " ศิษย์พี่ลู่นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น? " เยว้หย้วน รีบกล่าวถามเพราะนางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ ๆ ลู่ยี่ฟาน ถึงได้โจมตีใส่ เย่ชีเหวิน

ทั่วทั้งร่างของ เย่ชีเหวิน ต่างชุ่มไปด้วยเหงื่อที่แม้แต่เสื้อผ้าของเขาก็ยังต้องเปียกโชก ผิวของเขาเริ่มซีด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งอันน่าหวาดกลัวของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง แม้ว่า เย่ชีเหวิน ในตอนนี้จะมีความแข็งแกร่งที่สามารถทัดเทียมได้กับศิษย์หลัก แต่มันก็ยังมีความแตกต่างราวฟ้าดินระหว่างศิษย์หลักและศิษย์ที่แท้จริง

          " ศิษย์พี่ลู่ นี่มันหมายความว่าเช่นไร? " ร่างกายของ เย่ชีเหวิน สั่นเท่าและขบฟันแน่นพลางกล่าวถามในขณะที่เขาก็ยังคงต่อต้านกลิ่นอายและแรงกดดันอันมหาศาลที่กดทับลงบนร่าง

          " หุบปาก เจ้าใช่หรือไม่ที่เป็นคนสังหาร ลู่เทียน? " ลู่ยี่ฟาน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราวเหมือนกับเสียงคำรามของราชสีที่ดุร้าย พร้อมบังเกิดเป็นลมพายุขนาดใหญ่พัดเข้าใส่ใจกลางในห่วงจิตใจของ เย่ชีเหวิน ทำให้เขานั้นสูญเสียการควบคุมในจิตใจและต้องตอบความจริงกลับไปเท่านั้น โดยที่ไม่สามารถโกหกหรือเก็บความลับใดได้ไม่ว่าต้องการหรือไม่ก็ตาม เขาก็ต้องตะโกนกล่าวความจริงออกไปด้วยเสียงที่ดังฟังชัด

          " ข้าไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องของชายที่มีนามว่า ลู่เทียน " ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนั้นเอง[ พิ้นที่ลึกลับ ]ในห้วงลึกจิตใจของ เย่ชีเหวิน ก็ได้สว่างวาบและแพร่ขยายรัศมีออกมาปกป้องห้วงในจิตใจของ เย่ชีเหวิน เอาไว้จึงทำให้ เย่ชีเหวิน สามารถกลับมาควบคุมสติของตนได้อีกครั้งและรีบตอบกลับไปโดยเร็ว

เย่ชีเหวิน ต้องสะดุ้งเฮือกภายในจิตใจของเขา เพราะเขามิเคยคาดคิดถึงคนสกุล ลู่ มาก่อน หากคิดดูดี ๆ แล้วทั้ง ลู่เทียน และ ลู่ยี่ฟาน ต่างก็มีสกุลเดียวกันและมันก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าพวกเขานั้นเป็นคนตระกูลเดียวกัน!

แต่ทว่าในเวลานี้ เย่ชีเหวิน มิได้อยู่ในฐานะที่จะกล่าวถามเพราะเขายังคงตกเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่!

เขาจึงจำเป็นที่จะต้องทำเป็นไม่รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องของ ลู่เทียน!

เขาไม่สามารถที่จะบอกกล่าวความจริงออกไปได้!

เย่ชีเหวิน สามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าหากเขายอมรับว่าตนเป็นผู้ที่สังหาร ลู่เทียน , ลู่ยี่ฟาน จะฆ่าเขาในทันทีโดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อยในด้านหน้าของทุกคน ด้วยสถานะของศิษย์ที่แท้จริงนั้นเทียบเท่าได้ดั่งผู้อาวุโส

การที่มีผู้เชี่ยวชาญที่น่ากลัวถึงเพียงนี้หนุนหลังจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใด ลู่เทียน ถึงได้กล้ารอบสังหาร ฮวาเหมิงฮั่น

ดวงตาของ ลู่ยี่ฟาน นั้นประกายไปด้วยเจตนาฆ่าในขณะที่เขาจับจ้องลงไปในดวงตาของ เย่ชีเหวิน เพื่อตรวจสอบว่า เย่ชีเหวิน นั้นได้กล่าวความจริงหรือไม่

เขามีความสงสัยเกี่ยวกับ เย่ชีเหวิน อยู่ไม่น้อยว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับการตายของ ลู่เทียน ในวันที่ ลู่เทียน ได้กระทำการโดยประมาทในการว่าแผนรอบสังหาร ฮวาเหมิงฮั่น แต่กลับกลายเป็นฝ่ายถูกสังหารเสียเอง ฮวาเหมิงฮั่น นั้นคือศิษย์คนแรกของ[ จ้าวยอดหุบเขาพระจันทร์เต็มดวง ]และสถานะของนางนั้นเทียบเท่าได้กับศิษย์ที่แท้จริง มันจึงทำให้เขานั้นมิอาจลงมือกับนางได้ แต่สำหรับ เย่ชีเหวิน นั้นแตกต่างกัน เขาเป็นเพียงแค่ศิษย์ฝ่ายในในหมู่ศิษย์ฝ่ายในด้วยกันนับหลายพันคน แม้จะถูกฆ่าก็ย่อมไม่มีใครสนใจ ยิ่งหากเป็นศิษย์ที่แท้จริงด้วยแล้วแม้จะฆ่าศิษย์ในสำนักเดียวกันก็ยังมิถูกพิจารณาว่าจะได้รับโทษสถานหนัก

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงใช้เพียงแค่เคล็ดวิชาคลื่นเสียงโจมตีใส่ห้วงจิตวิญญาณของ เย่ชีเหวิน โดยตรงเพียงเท่านั้น เพราะหากโจมตีด้วยพละกำลังมันอาจเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงให้แก่ศิษย์ที่แท้จริงเสียเปล่าที่ต้องมาลงไม้ลงมือก็อีกแค่ศิษย์ฝ่ายในที่เปรียบเสมือนดั่งมดในสายตา แค่การโจมตีทางจิตวิญญาณและควบคุมจิตใจของพวกมันก็นับว่าเป็นลดตัวลงมามากเกินพอแล้ว

แต่แน่นอนว่าการโจมตีทางจิตวิญญาณย่อมต้องมีผลกระทบ เพราะเคยมีบุคคลผู้หนึ่งถูกโจมตีทางจิตวิญญาณและได้รับผลกระทบอย่างหนักจนต้องใช้เวลาในการกู้คืนสภาพจิตใจเป็นเวลานาน หากแต่ก็มีบางคนเช่นกันที่ไม่อาจกู้คืนสภาพจิตใจของตนได้ไปตลอดชีวิต ด้วยอาการบาดใจที่รุนแรงมากเกินไป

แต่ ลูยี่ฟาน หาได้สนใจสิ่งเหล่านั้นไม่ หากเขาทราบว่า เย่ชีเหวิน มีความเกี่ยวข้องกับการตายของ ลู่เทียน เขาจะฆ่า เย่ชีเหวิน ลงตรงนี้ในทันทีในด้านหน้าของทุกคน

ลู่ยี่ฟาน จับจ้องไปที่ เย่ชีเหวิน ด้วยคำใบ้ความไม่แน่นอนในสายตา เพราะเขาเริ่มจะมีความสงสัยแล้วบางที เย่ชีเหวิน นั้นอาจกล่าวความจริงและมิได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับการตายของ ลู่เทียน หลังจากที่ ลู่ยี่ฟาน นั้นมีความมั่นใจในเคล็ดวิชาของตนอยู่ไม่น้อยและเขามีความเชื่อที่ว่าไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในด้านหน้าของเขานั้นย่อมมิอาจรอดพ้นจากเงื้อมมือของเขาไปได้

หลังจากที่เวลาได้ผ่านไปเนินนานในที่สุด ลู่ยี่ฟาน ก็ได้คลายแรงกดดันและกลิ่นอายของตนลงและจับจ้องไปที่ เย่ชีเหวิน ด้วยสายตาอันเยือกเย็นพร้อมกับคำขู่ที่ว่า " เจ้าไม่ควรที่จะมีความเกี่ยวข้องกับการตายของ ลู่เทียน เพราะหากมิเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ เจ้าจะต้องตายอย่างน่าสมเพช "

ลู่ยี่ฟาน ได้กล่าวคำขู่ทิ้งท้ายไว้กับ เย่ชีเหวิน ในด้านหน้าของทุกคน โดยไม่สนใจว่าผู้อื่นนั้นจะคิดเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนที่เขาจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและลับหายไป ในขณะที่กลุ่มของพวกศิษย์หลักที่ได้มากันก่อนหน้าก็ได้ติดตาม ลู่ยี่ฟาน และหายลับไปในขอบฟ้าด้วยเช่นกัน

          " เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่? " เยว้หย้วน กล่าวถามด้วยความรู้สึกที่เป็นห่วงเล็กน้อย แม้ว่านางนั้นจะมิได้คุ้นเคยกับ เย่ชีเหวิน หากแต่ด้วยการที่พวกเขานั้นได้ต่อสู้เคียงบาเคียงไหล่และผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันในสถานการณ์ก่อนหน้ามันทำให้นางนั้นรู้สึกได้ถึงมิตรภาพระหว่างพวกเขา

          " ไม่ข้ามิได้เป็นอะไรมาก " รอยยิ้มอันเยือกเย็นได้ปรากฏบนใบหน้าของ เย่ชีเหวิน ในขณะเดียวกันเจตนาฆ่าก็ได้พุ่งพล่านจนถึงขีดสุดในชนิดที่ว่าเขาแทบอย่างจะฆ่า ลู่ยี่ฟาน เสียเดี้ยวนี้ หากแต่ เย่ชีเหวิน ก็จำเป็นที่จะต้องสะกดมันเอาไว้ภายในด้วยเคล็ดวิชา[ ยับยั้งลมหายใจ ] ไม่ว่าเจตนาฆ่าของเขานั้นจะเดือดดานมากแค่ไหนมันก็จะถูกซุกซ่อนเอาไว้โดยเคล็ดวิชาในชนิดที่ว่ามันจะไม่มีวันแพร่ออกมายังภายนอกได้เลยหาก เย่ชีเหวิน ไม่ต้องการที่จปลดปล่อยมัน 

หากเจตนาฆ่าของเขานั้นถูกปลดปล่อยออกมาก่อนหน้านี้แล้วล่ะก็ เขาคงต้องตายไปแล้วอย่างมิต้องสงสัย และมันก็คงกลายเป็นเรื่องน่าขันที่ศิษย์ฝ่ายในนั้นกล้าที่จะมีเจตนาฆ่าต่อเหล่าศิษย์ที่แท้จริง แต่ถึงอย่างนั้น เย่ชีเหวิน ก็มิได้ใส่ใจเพราะต่อให้เป็นศิษย์ที่แท้จริงแต่ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่เขาจะต้องไปถึงมันในสักวัน

ยิ่งกว่านั้น ลู่ยี่ฟาน ยังเป็นบุคคลที่ไร้ความปราณีอย่างเห็นได้ชัด หากเขาพบหลักฐานแม้เพียงน้อยนิดเขาจะฆ่าผู้นั้นในทันทีโดยไม่สนว่ามันผู้นั้นจะใช้บุคคลที่สังหาร ลู่เทียน หรือไม่ นอกจากนี้ เย่ชีเหวิน ยังคาดคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ที่ ลู่ยี่ฟาน ยังคงไม่มีหลักฐาน เนื่องจากว่าการตายของ ลู่เทียน นั้นมันมีความเกี่ยวข้องกับ ฮวาเหมิงฮั่น ลู่ยี่ฟาน จึงไม่ได้สืบค้นอย่างละเอียด แต่มันก็ไม่อาจที่จะนิ่งดูดายได้

วิธีที่ดีที่สุดที่จะจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นคือการสังหาร ลู่ยี่ฟาน ลงเสียซึ่งเป็นทางออกของทุกอย่าง!

ภายในใจของ เย่ชีเหวิน เจตนาฆ่าค่อย ๆ พริบานขึ้นอย่างช้า ๆและแพร่พรายไปทั่วร่างของเขา


#########################################################
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

        A : เจ้าใช่ไหมที่เป็นคนสังหาร ลู่เทียน!!
        B : ไม่ข้าไม่รู้จักคนที่ชื่อ ลู่เทียน 
B3 : ตอแหล!!! [ก.]ยังเห็น[ม.]ฟันหัวมันขาดอยู่เลย แถมยังขโมยแหวนมันมาอีกด้วย ลู่ยี่ฟาน แม้งน่าจะกระทืบให้ตาย ๆ ไปเลยนะ
B2 : ตอแหลแล้วไง แล้วใครแคร์พระเอกซะอย่าง
B1 : เดี้ยวก่อนไอ้[ส.]เดี้ยวก่อน เดี้ยว[ม.]รู้เลยว่า เล่นผิดคน เก่งนักใช่ไหม[ก.]ขอแค่ 30 ตอนเท่านั้นแหละ เดี้ยว[ม.]รู้!! เดี้ยว[ม.]รู้เลย!!!!!!!!
B4 : เห้ออออ จบซะทีต่อไปไรอะ ศึกชิงจ้าวยุทธ์ภพหรอ
B3 : = = แข่งขันการประลองศิษย์ฝ่ายในดิไอ้สาดดดดด
B1,B2 : เห้ยเดี้ยว ๆ มันยังเร็วไป นี่ยังไม่เทพไม่เก่งเลยนะ
B3 : ยังอีกเรอะยังไม่พออีกเรอะ
B4 : แค่ตอนนี้นี่ก็เก่งเท่าศิษย์หลักแล้วน่ะ นี่นิยายเทพเจ้าห้วงมิตินะ ไม่ใช่อสูรพลิกฟ้าที่จะมีคนเก่ง ๆ มาประลองรอบสุดท้าย นี่เทพแล้วเทพเลยนะ ต่อให้รอบสุดท้ายแม้งก็ตบล่วงได้ภายในไม่กี่ฝ่ามือ คือบางทีแม้งก็เอาเปรียบไป
B3 : ช่ะ ช่ะ B4 พูดถูกใจที่สุด

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

คลิกโฆษณาสนับสนุนกันได้ที่นี่เลยน้า

2 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม