บทที่ 130 - กำลังเสริมจากสำนักยี่หยวน

          " นี่ท่านพูดอะไร? ผู้คนทั้งหมดภายในเมืองนี้ถูกฆ่า!? " เย่ชีเหวิน กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกประหลาดใจและลมหายใจที่ติดขัด

เย่ชีเหวิน รู้สึกแทบมิอยากจะเชื่อ หลังจากที่ภายในเมืองพันเกาะนั้นมีขนาดใหญ่และยังมีประชากรอยู่นับล้าน

แต่ทว่าประชากรทั้งหมดกับถูกฆ่าโดยพวกปีศาจ ไม่ต้องคิดเลยว่าสิ่งที่พวกคนเหล่านั้นต้องเผชิญนั้นมันน่าหวาดกลัวมากเพียงใด เพียงแค่คิดถึงความอาฆาตแค้นของเหล่าปุถุชนที่ต้องสังเวยโลหิตของพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม ในภายภาคหน้าสถานที่แห่งนี้จะต้องเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่ที่น่าหวาดกลัวมากเป็นแน่

เย่ฟง พยักหน้าพลางกล่าวว่า " ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ทราบถึงสิ่งที่พวกมันกำลังจะทำ แต่มันมีความเป็นไปได้ว่านั่นอาจเป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ซึ่งข้านั้นรู้สึกไม่ดีเลย " จางซุนยวี้หยิน เหยียนชือหลิง และคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าเช่นเดียวกับ เย่ฟง แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะมิได้สูงมากนัก เมื่อเทียบกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่น่ากลัวจากสำนักหลัก หากแต่พวกเขาก็ยังถูกพิจารณาว่าเป็นชนชั้นสูงจากสำนักย่อยของตนและมีกองกำลังเป็นของตนเองที่มิได้นับว่าอ่อนแอ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ถึงสิ่งที่พวกปีศาจกำลังจะทำ แต่แน่นอนว่ามันย่อมมิใช่สิ่งที่ดี

          “ มันเป็นความผิดของข้า ข้าน่าที่จะคิดไตร่ตรองให้ดีกว่านี้ ก่อนที่จะส่งข้อความขอความช่วยเหลือออกไป ” เย่ฟง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่โทษตนเอง “ แม้ว่าเจ้าจะสามารถมาถึงที่นี่ได้ แต่มันก็มิได้ช่วยเปลี่นแปลงสถานการณ์ที่พวกเราต้องเผชิญ มิหนำซ้ำข้ายังพาลให้ผู้คนรอบข้างของข้าต้องมาพอยตกละกำลำบากไปกับหลุมพรางของพวกมัน ทั้งหมดนี่ล้วนเป็นความผิดของข้า ”

          “ ไม่พี่ใหญ่มันมิใช่ความผิดของท่าน ” เย่ชีเหวิน กล่าวพรางส่ายหน้า “ มันเป็นแผนของพวกปีศาจที่คิดจะใช้พวกท่านเป็นเยื่อล่อในการเรียกศิษย์ของสำนักยี่หยวนมาที่นี่ ” เย่ชีเหวิน บอกกล่าวทุกคนถึงสิ่งที่เขาได้รับรู้มาจากพวกปีศาจ หลังจากที่ได้ยินทั้งหมดเหล่าศิษย์ของ[พรรคเฉินยู้]ต่างก็เริ่มมีใบหน้าที่ถอดสี เพราะหากมันเป็นเช่นนั้นจริง นั่นก็แสดงว่าความแข็งแกร่งของพวกปีศาจที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นย่อมมิใช่ธรรมดา

พวกมันมีทั้งความฉลาดและเล่ห์เหลี่ยม!

          “ แล้วเช่นนี้พวกเราควรจะทำเช่นไร? ” ศิษย์ผู้หนึ่งกล่าวออกมาด้วยท่าทีกังวล

          “ เรามีเพียงแค่โอกาสเดียวเท่านั้น! ” เย่ชีเหวิน ตะโกนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้องเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน “ เจ้าปีศาจพวกนี้มันวางแผนที่จะทำการใหญ่ แน่นอนว่าแผนของพวกมันจะต้องได้รับการเตรียมการมานานแล้ว มิเช่นนั้นพวกมันคงไม่กล้าที่จะดักซุ่มโจมตีศิษย์ของสำนักยี่หยวนเช่นนี้ ข้าคิดว่าพวกมันคงจะอาศัยความแข็งแกร่งของพวกปีศาจระดับสูง เพราะก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้ถึง[กลิ่นอายปีศาจ]อันยิ่งใหญ่พุ่งทะยานขึ้นสูงท้องฟ้า มันมีความเป็นไปได้ที่ผู้บัญชาการของพวกมันจะเป็น[มารยักษ์ใหญ่]ที่แสนน่ากลัว แต่โชคดีที่พวกเรานั้นได้รับรู้เรื่องนี้ก่อนนี่จึงเป็นโอกาสรอดเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรา และพวกเราจะออกไปจากที่นี่ก็ต่อเมื่อผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของสำนักยี่หยวนนั้นมาถึง เราจะใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นและหลบหนีออกไป ” เย่ชีเหวิน กล่าวด้วยท่าทีที่มั่นใจ เพราะเขารับรู้ว่าหลุมพรางนี้จะนำมาซึ่งผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่น่าหวาดของสำนักยี่หยวน เพราะการที่พวกปีศาจได้สร้างความวุ่นวายไว้มากมายถึงเพียงนี้แน่นอนว่าพวกเขานั้นย่อมต้องมิอยู่เฉย ยิ่งกว่านั้นพวกเขาย่อมเลือกที่จะส่งพวกเชี่ยวชาญระดับสูงมากำจัดพวกมันเสียให้สิ้นซาก เพราะสำนักยี่หยวนนั้นถือเป็นขุมพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่จึงไม่อาจที่จะนิ่งเฉยได้ ยิ่งเมื่อพวกปีศาจได้ก้าวผ่านประตูมาสู่[โลกดินแดนการต่อสู่ที่แท้จริง]พวกเขายิ่งต้องรีบกำจัดโดยเร็ว

[ 3B : หลังจากบทนี้ไปจะเปลี่ยนคำว่า พลังปราณปีศาจ >> กลิ่นอายปีศาจ แทนนะจร๊ ]

แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าตอนนี้พวกปีศาจจะยังไม่ต้องการให้พวกเขานั้นตาย แต่มันก็ยังมิอาจที่จะไว้วางใจได้ไม่ แม้ว่าพวกมันจะต้องการพวกเขาเพื่อเป็นตัวประกัน แต่พวกมันจะตัดสินใจฆ่าพวกเขาเสียเมื่อไหร่ก็ยังมิอาจล่วงรู้ได้ ยิ่งกว่านั้นพวกเขาในตอนนี้เองต่างก็ถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าฝูงปีศาจขนาดใหญ่

          “ มังกรแผลงกาย! ” เย่ชีเหวิน ตะโกนกล่าวพลางปรากฏมังกรคำรามอย่างรุนแรงพุ่งตรงออกมาจากฝ่ามือของเขาและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงคำรามของมันนั้นดังกึกก้องและร่างขนาดใหญ่ของมังกรก็ได้ล่อนลงและขดรอบร่างกายของ เย่ชีเหวิน ราวเหมือนกับมันต้องการที่จะปกป้องเขา

ระบำคมมีด เย่ชีเหวิน ได้ฟาดฟันคมมีดประกายแสงของตนออกไปอย่างต่อเนื่องใส่ฝูงปีศาจที่อยู่บริเวณโดยรอบราวกับผักปลา

พวกมันมิสามารถเข้าใกล้ เย่ชีเหวิน ได้เลยแม้เพียงปลายนิ้ว และเมื่อใดก็ตามที่พวกมันพยายามที่จะเข้าใกล้ พวกมันก็จะถูกจู่โจมด้วยกรงเล็บของมังกรจนระเบิดกลายเป็นผุยผงไปในพริบตา โดยที่มันไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับคำสั่งใด ๆ จาก เย่ชีเหวิน และโจมตีใส่ปีศาจที่พยายามที่จะเข้ามาใกล้ด้วยตัวของมันเอง

          “ ศิษย์น้องเย่ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก! ” เหล่าศิษย์จาก[พรรคเฉินยู้]ต่างกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่งงงัน เมื่อต้องพบเห็นกับการโจมตีอันบ้าคลังของ เย่ชีเหวิน ที่มีความแข็งแกร่งประดุงดั่งเทพเจ้าแห่งความตายสำหรับพวกปีศาจ ในตอนนี้พวกเขาได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใด เย่ชีเหวิน ถึงสามารถฝ่าค่ายกลของพวกมันและมาพบเจอกับพวกเขาได้ ทั้งทีถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าฝูงปีศาจมากมาย

อนึ่งอาจต้องรู้ก่อนว่าพวกเขานั้นได้ถูกล้อมรอบเอาไว้โดยพวกปีศาจจำนวนมาก ซึ่งพวกมันก็ใช้พวกเขาเป็นตัวประกันในการล่อศิษย์จากสำนักยี่หยวนออกมาให้ติดหลุมพรางของพวกมัน โดยค่ายกลอันน่าหวาดกลัวที่แม้แต่ศิษย์หลักก็อาจที่จะเอาชีวิตไม่รอด แต่ทว่า เย่ชีเหวิน ที่ยังไม่ได้แม้แต่เป็นศิษย์หลักแต่กลับสามารถฝ่าค่ายกลของพวกมันเข้ามาได้โดยที่บนร่างกายของเขานั้นไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน

ความแข็งแกร่งของ เย่ชีเหวิน ในตอนนี้นั้นมันอยู่ในระดับที่ห่างกันมากเกินไป อีกทั้งพวกเขายังรู้สึกสงสัยในพลังอำนาจของเคล็ดวิชาที่ เย่ชีเหวิน นั้นฝึกฝน เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกปีศาจพยายามที่จะเข้าใกล้ หากพวกมันไม่ล้มตายก็บาดเจ็บสาหัสด้วยการโจมตีของมังกรที่ขดอยู่รอบร่างกายของ เย่ชีเหวิน จนพวกเขาบางคนก็หลงเข้าใจผิดว่ามังกรที่ขดอยู่รอบร่างกายของ เย่ชีเหวิน นั้นมิใช่มังกรที่ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังงานแต่เป็นมังกรของจริง 1 ในสิ่งมีชีวิตที่ปกครองชั้นฟ้าและผืนปฐพี

          “ นี่มันเป็นพลังอำนาจรูปแบบใดกัน ” คำถามนี้ได้ดังก้องอยู่ภายในจิตใจของเหล่าศิษย์จำนวนมาก เพราะเคล็ดวิชาที่พวกเขากำลังเฝ้ามองอยู่นั้นมันช่างเจริดจ้าเสียเหลือเกินจนพวกเขานั้นมิอาจหาคำใดมาอธิบายได้!

จะกล่าวว่าเคล็ดวิชาที่พวกเขากำลังเห็นอยู่นี้เป็นสิ่งมีชีวิตก็มิปาน เพราะเมื่อหากเทียบกันเคล็ดวิชาการต่อสู้ทั่วไปแล้วมันช่างมีความน่ากลัวและน่าเกรงขามกว่ามาก ซึ่งด้วยพลังอำนาจของมันนี่เองสามารถกำจัดเหล่าปีศาจได้อย่างง่ายดายราวกับผักปลาโดยที่พวกมันนั้นมิสามารถตอบโต้ได้เลย

เมื่อต้องมาพบเจอกับพลังอำนาจอันน่าทึ่งของเคล็ดวิชาที่น่าหวาดกลัว ดูเหมือนว่านี่จะเปรียบเสมือนเป็นฝันร้ายของพวกปีศาจ ใบหน้าของพวกมันต่างถอดสีและตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เมื่อพวกมันต้องเผชิญหน้ากับมังกรขดที่ไม่รู้วิธีที่จะรับมือ

และในบางครั้ง จางซุนยวี้หยิน ก็ได้แสดงบทเพลงอันไพเราะของ[ขลุ่ยมนต์ตรา][ ศัตราวุธจิตวิญญาณ ]ออกมาควบคู่ไปกับการโจมตีอันบ้าคลั่งของ เย่ชีเหวิน อย่างเคล็ดวิชา[ มังกรแผลงกาย ] ซึ่งไม่ว่าใครเห็นต่างก็ต้องรู้สึกตกตะลึงในพลังอำนาจของมัน อีกทั้งพวกเขายังต้องรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่า เมื่อสังเกตเห็นได้ว่าการโจมตีของ เย่ชีเหวิน นั้นได้มี[พลังปราณหยวน]เล็ดลอดออกมา ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เย่ชีเหวิน ได้ผันแปรพลังปราณของตนให้กลายเป็น[พลังปราณหยวน]ไปแล้ว เหลือเชื่อพวกเขาต่างตกตะลึง! หากมันเป็นเช่นนั้นจริงงั้นก็หมายความว่า เย่ชีเหวิน ในตอนนี้ได้มาถึงใน[ ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]แล้วอย่างนั้นหรือ

ฉับพลันใบหน้าของเหล่าศิษย์ต่างเริ่มถอดสี พร้อมกับความคิดที่ตระหนักได้ว่า ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของ เย่ชีเหวิน นั้นมันอยู่ในระดับที่น่าหวาดกลัวมากเกินไป

พวกเขายังคงจำได้ดี เมื่อยามที่พวกเขาได้พบกับ เย่ชีเหวิน เป็นครั้งแรก แม้ว่า เย่ชีเหวิน จะเป็นบุคคลที่พอมีชื่อเสียง หากแต่มันก็ไม่เทียบเท่ากับบุคคลอื่น ๆ แม้แต่ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนั้นก็ยังมิอาจเทียบ จางซุนยวี้หยิน เหยียนชือหลิง และศิษย์ชั้นนำคนอื่น ๆ แต่ทว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาเพียงแค่ 6 เดือน เย่ชีเหวิน กับมีการเปลี่ยนแปลงไปถึงขั้นการผันแปร[พลังปราณหยวน]

ด้วยอัตราความเร็วในการบ่มเพาะพลังนี้ มันถึงกลับทำให้พวกเขานั้นมิสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

ท่ามกลางในหมู่พวกเขา เย่ฟง , จางซุนยวี้หยิน และ เหยียนชือหลิง พวกเขาทั้ง 3 นับว่าเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของ[พรรคเฉินยู้]ในตอนนี้ นอกจากนี้พวกเขายังเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นที่ 4 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]และมีความเชื่อมั่นว่าจะไปถึงใน[ ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ได้ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ทว่าในเพียงแค่ไม่กี่ปีข้างหน้านี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับระดับขอบเขตการบ่มเพาะพลังของ เย่ชีเหวิน ? เพียงแค่ใช้ความคิดมันก็ถึงกับทำให้พวกเขานั้นต้องอ้าปากค้างไปตาม ๆ กันแล้ว

เย่ฟง จับจ้องไปที่ เย่ชีเหวิน ด้วยรูปลักษณ์สายตาที่ดูซับซ้อน ภายในใจของเขายังคงครุ่นคิดเสมอว่าในภายภาคหน้าเขานั้นจะปกป้องน้องชายของตนให้จงได้ แต่ทว่าความคิดนั้นมันก็ได้มลายหายไป หลังจากที่เขาได้เห็นแผ่นหลังของชายที่มีความน่ากลัวและน่าเกรงขามยืนตรงอยู่ในด้านหน้าของเขา

แม้ว่า เย่ฟง จะยังคงคิดเสมอว่า เย่ชีเหวิน นั้นคือน้องชายของตนที่ตนนั้นมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้อง หากแต่ดูเหมือนว่าหน้าที่นั้นมันจะไม่จำเป็นต่อน้องชายของเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะในตอนนี้น้องชายของเขามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องตนเองได้แล้ว และยังดูเหมือนอีกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยให้[พลังปราณหยวน]ของตนต้องหมดลง ทันทีที่ปริมาณ[พลังปราณหยวน]ภายในร่างนั้นเริ่มถดถอย เขาก็จะกลิ่นสมุนไพรระดับสูงลงไปในทันที เพื่อเพิ่ม[พลังปราณหยวน]ภายในร่างของเขา

สำหรับคนอื่น ๆ ภายในพื้นที่ค่ายกลที่เต็มไปด้วย[กลิ่นอายปีศาจ]เช่นนี้ ย่อมทำให้การหายใจของพวกเขานั้นติดขัดและเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ทว่าสำหรับ เย่ชีเหวิน มันกับเป็นเหมือนดั่งชั้นบรรยากาศทั่วไป ที่มิได้แตกต่างอะไรจไปากโลกภายนอก ด้วยความสามารถของ[พื้นที่ลึกลับ]ที่คอยทำหน้าที่ดูดซับ[กลิ่นอายปีศาจ]พวกนี้มาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการบ่มเพาะพลังของเขา

ช่างนับว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การต่อสู้ยิ่งนัก เพราะมันช่วยเสริมสร้างการบ่มเพาะพลังของเขานั้นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เพียงชั่วพริบตา วันเวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยไปแล้วกว่า 2 วันย่างเข้าสู่วันที่ 3 เย่ชีเหวิน และสมาชิกคนอื่น ๆ ของ[พรรคเฉินยู้]ยังคงติดอยู่ภายในค่ายกลของพวกปีศาจเป็นเวลากว่า 3 วันเต็ม และในช่วงเวลาของ 3 วันที่ผ่านมานี้พวกเขาก็ได้มีเวลามากพอที่จะตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ มากมาย

แม้ว่าในช่วงเวลา 3 วันที่ผ่านมานี้ พวกเขาจะเดินตรงเข้าปยังส่วนลึกของค่ายกลเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกปีศาจจำนวนมาก แต่ทว่าพวกเขาก็ยังคงรู้สึกและรับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่โจมตีเข้าใส่ค่ายกลอย่างรุนแรงจากภายนอก ซึ่งก่อให้เกินการสั่นสะเทือนไปทั้งค่ายกล แต่ทว่ามันก็ไม่ประสบความสำเร็จ ภายในระยะเวลาไม่นานแรงสั่นสะเทือนก็ได้หยุดลง ซึ่งมันแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่กระทำการโจมตีเข้าใส่ค่ายกลนั้นมิได้มีความแข็งแกร่งที่มากมายมหาศาลเฉกเช่นเดียวกับ เย่ชีเหวิน ที่จะสามารถเดินฝ่าเข้ามาภายในค่ายกลได้อย่างง่ายดายโดยไร้รอยขีดข่วน

ในยามแรกที่ได้มีการโจมตีค่ายกลเกิดขึ้น พวกเขาที่อยู่ภายในต่างก็รู้สึกดีใจและตื่นเต้นไปกับมัน หากแต่ด้วยระยะเวลาเพียงไม่นานนักความตื่นเต้นเหล่านั้นมันก็ได้หยุดลงและแปรเปลี่ยนกลายเป็นความรู้สึกที่เฉยชา

แต่ทว่าในวันนี้ดูเหมือนว่า[กลิ่นอายปีศาจ]ที่อัดแน่นอยู่ภายในค่ายกลมันจะทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและแพร่พรายออกไปอย่างบ้าคลั่งทั่วทิศทาง ที่ไม่ว่าใครเห็นต่างก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ เพราะในสายตาของพวกเขาแม้ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นที่ 9 ดินแดนลมปราณก่อเกิด ]ก็ยังต้องยอมสยบต่อค่ายกลนี้โดยที่พวกเขามิสามารถทำอะไรได้เลย ไม่ว่าจะพยายามโจมตีมากเพียงใดก็ตาม ก็มิอาจสร้างความผันผวนให้กับค่ายกลนี้ได้

แต่ทว่าความผันผวนอันบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นภายในค่ายกลนี้ มันก็เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนว่ามันกำลังต้านทานการโจมตีที่กำลังเกิดขึ้นจากภายนอกของค่ายกล

          " ฮ่อง! ฮึ่ม! ฮึ่ม! " ค่ายกลสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สีหน้าที่บงบอกถึงความสุขได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะบุคคลที่แข็งแกร่งเอามาก ๆ ได้มาช่วยเหลือพวกเขา นี่คงเป็นโอกาสรอดเพียงทางเดียวของพวกเขาที่จะสามารถออกไปจากที่นี่ได้ นี่นับว่าเป็นข่าวใหญ่มากที่สุดสำหรับพวกเขาในตอนนี้

ฉับพลัน เย่ชีเหวิน ก็สามารถรับรู้สึกถึงว่าค่ายกลที่ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งใจกลางของเมืองพันเกาะใกล้จะพังทลายลง ทำให้เขานั้นอดไม่ได้ที่จะต้องแอบกล่าวชื่นชมออกมาในทันที ในความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวของผู้เชี่ยวชาญผู้นี้ มันอาจกล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นมันมีมากเสียยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณแท้จริง ]อย่าง ลู่ยี่ฟาน เสียอีก หรืออาจมากกว่าผู้เชี่ยวชาญ[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณแท้จริง ]สามัญนับหลายเท่าเลยเสียด้วยซ้ำ

แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาแห่งความสุขมันก็อยู่ได้ไม่นาน ใบหน้าของพวกเขานั้นได้กลับมามุ่ยอีกครั้งพร้อมครุ่นคิดว่านี่คือโอกาสเดียวของพวกเขาที่จะสามารถหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้ ท่านกลางปีศาจมากมายที่รอคอยพวกเขาอยู่ข้างนอกนั่นพวกเขาไม่มีเวลาใด ๆ ให้สูญเสียอีกแล้ว

          " ทุกคนฟังจงอย่าละสายตาและระมัดระวังการโจมตีของพวกปีศาจเอาไว้ให้ดี! " เหยียนชือหลิง ตะโกนกล่าวซึ่งทุกคนต่างก็พยักหน้าขานรับ เพราะพวกเขานั้นรู้ดีว่านี่คือช่วงเวลาที่สำคัญมากที่สุด

          " ฮ่อง! ฮึ่ม! ฮึ่ม! " เสียงระเบิดอันน่าหวาดกลัวดังก้องขึ้นอีกครั้ง ช่องหว่างขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นบนค่ายกลเผยให้เห็นท้องฟ้าสีเทาที่ผ่านทางช่องว่าง
แสงตะวันสาดส่อง เหล่าผู้คนแหงนหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ เพราะภายใต้แสงสว่างที่สาดส่องได้มีรูปเงาของชายผู้หนึ่งในชุดคลุมสีทองอร่ามพร้อมคมกระบี่ในฝ่ามือและมีใบหน้าที่หล่อเหลา ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นดวงตาหรือสีผมของเขาต่างก็เป็นสีทอง อันที่จริงเกือบทั่วทั้งร่างของเขาแทบจะถูกเคลือบไปด้วยสีทองอร่าม ราวกับเป็นเทพเจ้าสงครามที่ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยสีทองอร่าม

ลมหายใจอันแกร่งกล้าที่ไม่มีวันเสื่อมคลายได้ไหลพล่านอยู่รอบ ๆ ร่างกายของเขา ซึ่งมันได้ส่งออกถึงบรรยากาศที่น่ากลัว

ในขณะนี้ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่แสงตะวันที่สาดส่องลงมาจากด้านหลังของเขา ราวเหมือนว่าการปรากฏตัวของเขานั้นเป็นสิ่งที่ชั้นฟ้าสวรรค์ได้บันดาลให้เป็นก็มิปาน ราวกับเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ยืนคั่นกลางระหว่างชั้นฟ้าสวรรค์และผินดิน

          " นับว่ากล้าไม่เบาสำหรับปีศาจอย่างพวกเจ้า ข้าต้องขอชมเชยว่าพวกเจ้ามีความกล้ามาก เพียงเพื่อเห็นแก่ความกล้าของพวกเจ้า หากปล่อยศิษย์สำนักยี่หยวนของข้าออกมาในตอนนี้ ข้าจะทำให้ศพของพวกเจ้านั้นอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากที่สุด! " ชายในชุดสีทองอร่ามกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้องไปทั้วทั้งเมืองพันเกาะ ราวกับเสียงฟ้าร้องอันน่ากลัวจากชั้นฟ้าสวรรค์ เหล่าปีศาจและ[ศิษย์ลัทธิมาร]ที่แสนอ่อนแอที่อยู่เพียงแค่ใน[ ระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อตั้ง ]ต่างตกตายลงในทันที เพียงแค่ได้ยินคลื่นเสียงของชายชุดทอง อนึ่งอาจเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของชายผู้นี้นั้นมันอยู่ในระดับที่เหนือกว่าของ ลูยี่ฟาน นับ 100 เท่าของระดับความแข็งแกร่ง

          " ช่างเป็นคำพูดที่วางท่าใหญ่โตเสียจริง เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครไอ้มนุษย์ ? " เสียงอันยิ่งใหญ่ได้ดังก้องมาจากส่วนลึกที่สุดของค่ายกล " เพียงแค่สามารถทำลายค่ายกลของพวกข้ามารจากโลกปีศาจได้ แต่อย่าคิดว่านั่นมันจะทำให้พวกข้าต้องหวาดกลัวเจ้าไอ้มนุษย์! "

ในขณะที่กำลังกล่าวคำสุนทรพจน์กันอยู่นั้น ปีศาจที่มีรูปร่างใหญ่โตก็ได้ก้าวออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของค่ายกลและบินขึ้นไปบนทอากาศ กลิ่นอายอันดำมืดของมันได้เข้าปกคลุมทั่วท้องฟ้าจนกลายเป็นเมฆดำบดบังแสงตะวัน หากพิจารณาดูแล้วความแข็งแกร่งของมันนั้นอาจจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ัดเทียมกับชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองอร่าม

ท่ามกลางสายตาของพวกเขาทั้ง 2 ได้มีประกายสีแดงฉานปรากฏขึ้นและมันดูเหมือนว่าราวกับพวกเขาเป็นอสูรร้ายจากบรรพกาลที่ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาได้เปิดเผยเขี้ยวและเริ่มเข้าห่ำหั่นกัน บังเกิดกลายเป็นความผันผวนต่อชั้นบรรยากาศ ซึ่งมันแพร่บรรยากาศที่น่ากลัวออกมาอย่างชัดเจนภายในการโจมตีนี้

ดูเหมือนว่าในตอนนี้การต่อสู้ของ 2 เทพเจ้าสงครามจะได้เริ่มขึ้นแล้วและมันยังคงมีทีท่าว่าจะทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

#########################################################
เอาละในช่วงท้ายก็มาพบกับเราเหล่าพี่น้อง 4B หัวดอที่จะมาเผานิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกลับคุณ

B1 : เอ้าเราก็นึกว่าจะไฝว้กับตัวหลักแต่ดันมีตัวประกอบโผล่มาซะได้
B2 : นั่นสินึกว่าพี่เหวินเราจะได้โชว์เทพมากกว่านี้อีก
B1 : เห้อก็นะ...ปล่อยให้เป็นทีของตัวประกอบไปก่อนและกัน
B3 : เดี้ยว ๆ ไมมันกลายเป็นแบบนี้ ไหงมีคนมาช่วย?? WTF ความฝันที่คิดว่ามันจะสลบขคาเท้าของตัวร้ายก็ได้มลายหายไปอีกแล้วววววว
B4 : ได้แค่ฝัน
B1,B2 : เท่านั้นแหละ
B3 : เหอะยังไงมันก็โดนเท้าของ ลู่ยี่ฟาน ไปแล้วล่ะหว้า....
B1,B2 : อ่อนให้เฉยหรอก!!

#########################################################
เอาล่ะก็ขอจบสาระเร้าใจ BY: นายกระทิข้น ไว้เท่านี้ก่อนนะครับขอบคุณครับสำหรับผู้อ่านทุกท่าน
คลิกโฆษณาสนับสนุนกันได้ที่นี่เลยน้า

3 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม