บทที่ 133 - กลับสู่สำนักยี่หยวน

หลังจากที่ถอยห่างออกมานับ 100 ลี้ เย่ชีเหวิน ก็มิได้รู้สึกถึงคลื่นการต่อสู้ของทั้ง 2 ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดแล้ว ซึ่งมันทำให้เขานั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำออกมาด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย " ผู้เชี่ยวชาญ[ระดับขั้นดินแดนลมปราณแท้จริง]ชั้นยอดเหล่านี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก "

          " เจ้ามนุษย์โง่ นี่เจ้าคิดว่าพวกมันเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญ[ระดับขั้นดินแดนลมปราณแท้จริง]สามัญทั่วไปหรืออย่างไร? เจ้าผู้นำทัพปีศาจหน้าโง่นั่นที่มีดีแต่ร่างกายใหญ่โตก็เป็นถึงแล้วผู้เชี่ยวชาญ[ระดับจุดสูงสุดขี้นที่ 9 ดินแดนลมปราณแท้จริง]และมนุษย์ที่กำลังต่อสู้อยู่กับมันก็เป็นผู้เชี่ยวชาญใน[ระดับครึ่งขั้นลมปราณปราณแห่งตำนาน] มิฉะนั้นแล้วการต่อสู้ของพวกมันคงมิเกิดพลังอำนาจทำลายล้างถึงเพียงนี้! " ปีศาจตัวน้อยกล่าวในขณะที่มันกำลังถูกกำอยู่ในฝ่ามือของ เย่ชีเหวิน ด้วยท่าทีที่เยาะเย้ย

เย่ชีเหวิน เกือบจะลืมไปแล้วว่าเขายังคงกำปีศาจน้อยแน่นอยู่ในฝ่ามือ ในขณะที่เขานั้นเลือกที่จะถอยหนีออกมา

เย่ชีเหวิน หันมองไปที่ปีศาจน้อยและถามออกไปด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่เรียบง่าย " เจ้าปีศาจเผ่าพันธุ์ของเจ้าคืออะไร? "

เย่ชีเหวิน ค่อย ๆ คลายมือของเขาในขณะที่ภายในใจของเขานั้นมิได้มีความกังวลใดอยู่เลย เพราะตลอดทางที่เขาได้ถอยล่นมา มันก็มิได้แสดงท่าทีที่จะต่อต้านออกมาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นการจะฆ่ามันยังนับได้ว่าเป็นเรื่องยาก แต่ทางกลับกันมันก็มิได้มีความแข็งแกร่งใด ๆ อยู่เลย ซึ่งมันมีความเป็นไปได้ว่าความแข็งแรงของมันนั้นอาจมาจากกระจกสีแดงฉานดุจโลหิตที่น่าหวาดกลัวนั่น

แม้ว่าเขาในตอนนี้ เย่ชีเหวิน จะยังมิสามารถควบคุมกระจกสีแดงฉานนี่ได้ดั่งใจนึก แต่เขาก็มีความรู้สึก ๆ ว่ามันได้เชื่อมต่อกับความนึกคิดของเขา

เย่ชีเหวิน คิดไม่ออกว่าเหตุใดมันถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ ทั้งทีมันเพียงแค่ได้สัมผัสเลือดของเขาเท่านั้น แต่กับยอมรับเขาเป็นนายของมัน ช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี เพราะการที่จะถูกยอมรับเป็นนายของศาสตราวุธได้จำเป็นที่จะต้องมีพลังวิญญาณที่สูงกว่าศาสตราวุธนั้น ๆ ยิ่งกว่านั้นศาสตราวุธที่สามารถรับรู้นายได้ยังถือเป็นจ้าวแห่งศาสตราวุธทั้งมวล อนึ่งอาจต้องกล่าวก่อนว่าการที่จะมาเป็นศาสตราวุธที่สามารถยอมรับนายได้นั้นจำเป็นที่จะต้องผ่านร้อนผ่านหนาวและผ่านการใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน อาวุธถึงจะสามารถเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของผู้ใช่ได้


เย่ชีเหวิน ครุ่นคิดอย่างรอบคอบอยู่สักครู่ ก่อนที่เขาจะสามารถตระหนักได้ว่าในช่วงเวลาที่แสงของกระจกได้เข้าจู่โจมเขานั้นมันก็ได้ถูกต่อต้านโดยแสงจาก[พื้นที่ลึกลับ]ที่อยู่ภายในห้วงลึกจิตใจของเขาและผลักดันแสงสีแดงฉานของกระจกกลับไป

ฉะนั้นแล้วหากคิดเช่นนี้ มันย่อมต้องมีการเกี่ยวพันกันกับ[พื้นที่ลึกลับ]อย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะยังค่อนข้างที่จะสับสนอยู่บาง แต่อย่างไรก็ตามคราบใดที่กระจกสีแดงฉานยังคงตกอยู่ภายใต้การครอบครองของเขา ปีศาจน้อยตัวนี้ก็จะมิสามารถต่อต้านเขาได้

          " ปีศาจ? นี่เจ้าโง่หรือโง่กันแน่ ถึงได้เอาข้าไปเปรียบเทียบกับพวกปีศาจชั้นต่ำพวกนั้น? " ปีศาจน้อยกล่าวด้วยสีหน้าและท่าทีที่รังเกียจ

          " หากเจ้ามิใช่ปีศาจแล้วเจ้าเป็นอะไร? " เย่ชีเหวิน กล่าวถามเพราะหากมันมิใช่พวก[เผ่ามาร]แล้วมันจะเป็นอะไร

เย่ชีเหวิน ครุ่นคิดภายในใจเกี่ยวกับข้อมูลของพวก[เผ่ามาร]ที่ได้ทำการรุกราน[ดินแดนโลกการต่อสู้ที่แท้จริง]เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งในบันทึกเหล่านั้นก็ได้รวบรวมสายพันธุ์ของพวก[เผ่ามาร]ต่าง ๆ เอาไว้มากมาย หากแต่ เย่ชีเหวิน ก็มิสามารถล่วงรู้ถึงสายพันธุ์ที่แท้จรองของปีศาจน้อยตัวนี้ได้

          " ข้าก็คือ[วิญญาณเทพศาสตรา]ของ[ศาสตราวุธวิญญาณ]ยังไงล่ะ นี่เจ้าไม่รู้? " ปีศาจน้อยกล่าวพลางจับจ้องไปที่ เย่ชีเหวิน

          " วิญญารเทพศาสตรา! " เย่ชีเหวิน ถึงกับต้องผงะ เมื่อมันกล่าวว่าตนคือ[วิญญาณเทพศาสตรา] แน่นอนว่าเขารู้เรื่องเกี่ยวกับ[วิญญาณเทพศาสตรา] วิญญาณที่อาศัยอยู่ภายใน[ศาสตราวุธวิญญาณ] ว่ากันว่าสติปัญญาของพวกมันนั้นมิได้แตกต่างอะไรไปจากสุนัข ซึ่งมันจะเชื่องมากกับผู้ใช้และมีความจงรักภักดีที่ไม่เสื่อมคลาย

แต่มันก็ยังมีในอีกกรณีที่[วิญญาณเทพศาสตรา]นั้นจะการวิวัฒนาการ ซึ่งหลังจากที่ผ่านกระบวนการนี้ไปแล้วนั้น มันจะมีความเป็นไปได้ที่สติปัญญาของ[วิญญาณเทพศาสตรา]นั้น ๆ จะเทียบเท่าได้กับสติปัญญาของเด็กมนุษย์ที่มีอายุเฉลี่ย 4 - 5 ปี ซึ่งก็ถือได้ว่าดีมากแล้ว แต่ทว่าระดับสติปัญญาของปีศาจน้อยตนนี้นั้นถือได้ว่าอยู่ในระดับที่สูงมากอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมันอาจกล่าวได้ว่าช่างหาได้ยากยิ่ง

          " แม้ว่ามันจะยังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง แต่ถ้าหากมันมิได้เป็นเพราะ[กระจกเทียนหยวน]ยอมรับเจ้าเป็นนายของมันอย่างฉับพลันแล้วล่ะก็ เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่ามนุษย์ชั้นต่ำเฉกเช่นเจ้าจะสามารถมายืนพูดคุยอยู่กับข้าเช่นนี้ได้ " ปีศาจน้อยกล่าวพลางจับจ้องไปที่ เย่ชีเหวิน ด้วยท่าทางที่ดูถูกเหยียดหยาม

เห็นได้ชัดว่ามนุษย์มิได้มีคุณค่าในสายตาของมันเลยแม้แต่น้อย

          " นี่เจ้ากำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่หรือป่าว ข้าน่ะมีวิธีที่จะทรมานเจ้าเป็นร้อยเป็นพันหมื่นวิธี " เย่ชีเหวิน กล่าวพร้อมแสยะยิ้ม ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าภายในความนึกคิดของ[วิญญาณเทพศาสตรา]ปีศาจน้อยตนนี้นั้น ยังมิได้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้

ซึ่งในตอนนี้เขาที่เป็นนายของ[กระจกเทียนหยวน] และมันที่เป็นเพียงแค่[วิญญาณเทพศาสตรา]ของกระจกมีหรือที่มันจะสามารถต่อต้านเขาได้ ซึ่งในทางกลับกันเขาก็มี 108 วิธีการที่จะสามารถจัดการกับ[วิญญาณเทพศาสตรา]อย่างปีศาจน้อยตนนี้ได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าปีศาจน้อยมิทราบเกี่ยวกับวิธีการทรมานอันโหดร้ายของ เย่ชีเหวิน ซึ่งในทันทีที่มันได้ยินเช่นนั่นร่างอันบอบบางของมันก็อดมิได้ที่จะต้องสั่นเทาและสีหน้าที่เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความหวาดกลัวเล็นน้อย

          " นี่เจ้าคิดว่า[กระจกเทียนหยวน]เป็นอะไร นี่คือ[ศาสตราวุธวิญญาณ]ของราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ ในบรรดาชั้นฟ้าสวรรค์ทั้งหมดเขาคือผู้ปกครองอาณาจักรนับหมื่น! เจ้ารู้ความหมายของมันหรือไม่? " ปีศาจน้อยกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง

          " อย่าลืมว่าเจ้าในตอนนี้นั้นตกอยู่ในกำมือของข้า! " เย่ชีเหวิน กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังพลางแสยะยิ้ม ซึ่งมันมิได้มีทีท่าของความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นถึงราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกครองโลกมารและชั้นฟ้าสวรรค์นับหมื่นอาณาจักรก็ตาม

          " หนอยไอ้เจ้ามนุษย์ต่ำต้อย..... " ปีศาจน้อยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันโกรธเกรี้ยวมพลางพยายามดิ้นลนในขณะที่มันยังคงอยู่ในกำมือของ เย่ชีเหวิน

          " หุบปาก หากเจ้ายังพยายามที่จะรบกวนข้าอีก ข้าจะกำจัดเจ้าทิ้งเสีย! " เย่ชีเหวิน รู้สึกเหลืออดกับคำสบถของปีศาจน้อยที่กล่าวว่ามนุษย์นั้นต่ำต้อย การมีอยู่ของ[วิญญาณเทพศาสตรา]ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับผู้เป็นนาย เพราะเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้ต้องการที่จะปลดปล่อยพลังอำนาจที่แท้จริงของ[ศาสตราวุธวิญญาณ] พวกเขาจำเป็นที่จะต้องเชื่อมต่อจิตวิญญาณโดยตรงเข้ากับ[ศาสตราวุธวิญญาณ] ซึ่ง[วิญญาณเทพศาสตรา]มีอยู่ก็เพื่อการนั้น พวกมันจะคอยทำหน้าที่เป็นซื่อกลางในการเชื่อมโยงความคิดของผู้ใช้เข้ากับ[ศาสตราวุธวิญญาณ] ซึ่งจะทำให้การใช้งานนั้นสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่กลับกันหากพวกมันคิดที่จะต่อต้านหรือไม่เชื่อฟัง มันก็จะเป็นการดีกว่าหากเลือกที่จะทำลายมันทิ้ง เพราะพวกเขาจะได้สามารถควบคุม[ศาสตราวุธวิญญาณ]ได้อย่างสมบูรณ์

หากเป็นคนปกติธรรมดาทั่วไป แน่นอนว่าพวกเขาคงเลือกที่จะทำลายพวกมันในทันที เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว พวกมันมักไม่จำเป็นสำหรับพวกเขา มันคงจะง่ายกว่าหากพวกเขาเลือกที่จะเชื่อมต่อจิตวิญญาณเข้ากับ[ศาสตราวุธวิญญาณ]โดยตรงด้วยตนเอง

หลังจากที่ได้ยินคำขู่ของ เย่ชีเหวิน ปีศาจน้อยก็สงบลงพลางแอบสบถในใจ ด้วยความสงสัยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งมันยังคงเป็นปริศนาที่ยากเกินจะเข้าใจ เหตุใดกระจกถึงได้ยอมรับมนุษย์ชั้นต่ำที่แสนต่ำต้อยอย่าง เย่ชีเหวิน เป็นนายของมัน 

แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า เย่ชีเหวิน จะมิได้สนใจต่อท่าทีที่เปลี่ยนแผลงไปของปีศาจน้อย ขณะเดียวกันเขาก็ได้ผิวปากเพื่อเรียก[นกกระเรียนหัวแดง] ซึ่งทันทีที่มันได้ยินเสียงเรียก ปีกขนาดใหญ่ที่กระพือไปมาก็ค่อย ๆ ล่อนลงมาจากท้องฟ้า เย่ชีเหวิน ไม่ต้องการที่จะสูญเสียเวลาใด ๆ อยู่ที่นี่อีกต่อไปเขาจึงรีบขึ้นไปบนหลังของมันและมุ่งหน้ากลับสำนักยี่หยวน

ในครานี้มันอาจกล่าวได้ว่าเขานั้นได้รับผลประโยชน์ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ[กระจกเทียนหยวน] แม้ว่าเขาจะยังมิทราบถึงรายละเอียดของมันมากนัก แต่ยังคงมีเวลาเหลือเฟือที่เขาจะศึกษามันหลังจากนี้

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือเขาต้องรีบกลับไปยังสำนักยี่หยวน เพื่อเข้าร่วมในการประลองศิษย์เมล็ดพันธุ์ แม้ว่าในช่วงเวลานี้จะมีการก่อจลาจลจากพวก[ศิษย์ลัทธิมาร] แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่เหตุการเล็ก ๆ ซึ่งมิได้เป็นปัญหาที่ใหญ่อันใดต่อเหล่าสำนักใหญ่ต่าง ๆ และสำนักยี่หยวน นอกจากนี้พวกเขายังมิได้วางแผนคิดที่จะมีส่วนร่วมในการปราบปรามพวกมันอย่างจริงจัง

จึงมีเพียงแค่สำนักยี่หยวนเพียงสำนักเดียวเท่านั้นที่ในเวลานี้ได้ส่งกองกำลังของตนออกไป เหล่าสานุศิษย์ที่แท้จริงนับ 100 ได้เข้าร่วมสงครามในการปราบปรามพวก[ศิษย์ลัทธิมาร]ภายใต้นามของสำนักยี่หยวน แต่อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงแค่กองกำลังเล็ก ๆ จากสานุศิษย์ที่แท้จริงทั้งหมดของสำนักยี่หยวน

การที่สำนักยี่หยวนสามารถดำรงอยู่มาได้จนถึงวันนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าความแข็งแกร่งที่สั่งสมกันมานานนับ 1,000 ปี จนทำให้กลายเป็นขุมพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่

เย่ชีเหวิน ทำสมาธิและตัดสินใจว่าจะทำให้ดีที่สุดในการประลองศิษย์เมล็ดพันธุ์ที่กำลังจะมาถึง เพราะหากเขาสามารถกลายเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ได้ แน่นอนว่าธรรมชาติสถานะของเขาจะต้องเปลี่ยนแปลงไปราวฟ้ากับเหว แม้กระทั่งศิษย์ฝ่ายหลักบางคนก็อาจมีสถานะที่ต่ำกว่าเขา

          " อะไร...นี่เจ้ากำลังจะกลับไปยังสำนัก เพื่อเข้าร่วมการประลองศิษย์เมล็ดพันธุ์อะไรนั่น! "

          " นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ในตอนนี้เจ้าเป็นผู้ถือครอง[กระจกเทียนหยวน] เหตุใดถึงต้องไปเสียเวลากับการกระทำอันแสนโง่เขลาเช่นนั้น! "

          " มันต้องพิชิตโลกสิ! ตราบใดที่เจ้าเชื่อฟังข้า ข้าสามารถทำให้เจ้ากลายเป็นจักรพรรดิ์ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน โลกทั้งใบจะต้องสั่นคลอนด้วยพลังอำนาจปีศาจของเจ้า! "

มันดูราวกับว่าปีศาจน้อยได้เริ่มยอมรับชะตากรรมของมันแล้วว่า เย่ชีเหวิน คือผู้เป็นนายของมันในตอนนี้ มันจึงไม่มีทางเลือกเลยพยายามโน้มน้าวเขาให้เริ่มฝึกฝน[เคล็ดวิชามาร!]

          " หุบปาก! "

-----------

เสียงลมดังตลอดทาง เย่ชีเหวิน ขี่]นกกระเรียนหัวแดง]ด้วยความเร็วสูงสุดหามรุ่งหามค่ำข้ามผ่านหุบเขาและท้องทะเลอันกว้างใหญจนในที่สุดเขาก็ได้กลับมาถึงสำนักยี่หยวน เทือกเขาขนาดใหญ่ค่อย ๆ ปรากฏอยู่ในสายตาของเขา จำนวนของมันค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นและในหมู่ยอดหุบเขาน้อยใหญ่เหล่านั้น ก็ได้มียอดหุบเขาจำนวนหนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า พวกมันต่างถูกกล่าวขานว่าเป็นหุบเขาลอยฟ้าสถานที่พำนักของเหล่าสานุศิษย์ที่แท้จริง นอกจากนี้มันยังมีกฏที่อนุญาตให้เหล่าบรรดาศิษย์ที่แท้จริงนั้นสามารถมียอดเขาลอยฟ้าเป็นของตนเองได้

แม้ว่าโดยธรรมชาติสำนักยี่หยวนจะมั่งคั่งไปด้วยทรัพยากรมากมาย หากแต่การจะสร้างยอดหุบเขาลอยฟ้าให้ได้หลาย 100 ลูกนั้นจำเป็นที่จักต้องใช้ทรัพยากรอย่างมหาศาล ซึ่งแน่นอนว่ายอดหุบเขาลอยฟ้าเหล่านี้นั้นย่อมมิได้มีไว้โชว์ พวกมันได้รวบรวมเหล่ากลยุทธุ์และแนวป้องกันมากมายเข้าไว้ด้วยกัน ที่สำคัญพวกมันคือที่พำนักของเหล่าสานุศิษย์ที่แท้จริง เมื่อใดก็ตามที่มีถิ่นฐานของพวกเขานั้นถูกรุกราน พวกมันจะทำหน้าที่เป็นป้อมปราการที่น่าสะพลึ่งกลัวขับไล่ผู้บุกรุกออกไป

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือที่ เย่ชีเหวิน ไม่เคยได้เห็นกับตาของตัวเองมาก่อนจนถึงบัดนี้ ดูเหมือนว่ามันจะน่ากลัวเสียยิ่งกว่าข่าวลือที่เขาได้ยินมาเสียอีก สมดั่งเป็นป้อมปราการอย่างแท้จริง

ในสถานการความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แม้ว่าในสายตาของสำนักยี่หยวนการก่อความวุ่นวายของพวก[ศิษย์ลัทธิมาร]อาจมิใช่ปัญหาที่ใหญ่อันใด หากแต่ใครจะรู้เหล่าว่าถึงจำนวนที่แท้จริงของพวกมันที่ยังคงหลบซ่อนอยู่ในเงามืด ไม่มีใครทราบถึงการเคลื่อนไหวของพวกมันอย่างชัดเจน พวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องว่างมาตรการป้องกันเอาไว้อย่างแน่นหนา ป้อมปราการลอยฟ้าถูกติดตั้งเอาไว้ทั้งรอบนอกและในของสำนักยี่หยวนคอยปกป้องเหล่ายอดหุบเขาสำคัญเอาไว้ดั่งป้อมปราการที่ไม่มีวันแตกพ่าย

เย่ชีเหวิน ก้าวเข้าไปอย่างสบายใจและมุ่งหน้ากลับสู่[ยอดหุบเขาเสียดนภา] แต่เพียงหลังจากที่เขาได้ทาถึง เขาก็ต้องพบกับใบหน้าที่แสนคุ้นเคยคือ เย่ฟง และเหล่าศิษย์คนอื่น ๆ จาก[พรรคเฉินยู้]ที่รอคอยการกลับมาของเขาอยู่ในขณะนี้

          " น้องเล็กเจ้ามิเป็นไร? " เมื่อ เย่ฟง เห็นว่า เย่ชีเหวิน นั้นมิได้มีบาดแผลใด ๆ อยู่บนร่างกายใบหน้าของเขาก็ได้เผยรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา

ซึ่งคนอื่น ๆ เองต่างก็มีความสุขไปกับเขาด้วย หลังจากพวกเขาทั้งหมดได้ถูกช่วยเอาไว้โดย เย่ชีเหวิน นับจากที่พวกเขาได้กลับมาเป็นกลุ่มแรก พวกเขาก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่เสมอถึงความปลอดภัยของ เย่ชีเหวิน

แต่ในตอนนี้เมื่อเห็นว่า เย่ชีเหวิน สบายดีพวกเขาจึงรู้สึกโล่งใจ

          " ใช่แล้ว...ศิษย์น้องเย่ แล้วศิษย์พี่ฉีล่ะ เขาสามารถสังหารเจ้าปีศาจยักษ์นั่นได้หรือไม่? " ในขณะนั้นเอง จางหยาง ก็ได้กล่าวถามด้วยท่าทีที่อยากรู้อยากเห็น

ทุกคนต่างมีความกังวลเกี่ยวกับผลการต่อสู้ของ ฉีเฟยฟ้าน เป็นรองจากความปลอดภัยของ เย้ชีเหวิน

          " เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่หลังจากก่อนที่ข้าจะหลบหนีออกมา ข้าสังเกตุเห็นได้ว่าศิษย์พี่ฉีนั้นมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าเจ้าปีศาจนั่นอยู่มากโข ซึ่งแน่นอนว่าในท้ายที่สุดแล้วเขาย่อมต่องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน " เย่ชีเหวิน ว่ากล่าว " และที่สำคัญการที่พวกเราสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกปีศาจมาได้ นั่นก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากศิษย์พี่ฉี หากไม่ไปกล่าวขอบคุณเขาที่ได้ช่วยชีวิตของพวกเราเอาไว้ พวกเราก็คงไม่ใช่มนุษย์และไม่ต่างอะไรไปจากปีศาจพวกนั้น! "

[หุบเขาลอยฟ้า]ของ ฉีเฟยฟ้าน นับว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดลูกหนึ่ง ในหมู่[หุบเขาลอยฟ้า]ทั้งมวลของเหล่าสานุศิษย์ที่แท้จริง อีกทั้งยังเป็นที่กล่าวขานว่าเป็น[หุบเขาลอยฟ้า]ที่สว่างไสวเกินใครเทียบเทียม แม้ในยามราตรีก็ยังกล่าวได้ว่าเป็นสถานที่แห่งสรวงสวรรค์ที่เต็มไปด้วยแสงสีดุจดินแดนในฝันของเหล่าชาวยุทธ์

แม้ว่าการช่วยเหลือพวกเขาจะนับว่าเป็นเรื่องเล็กสำหรับ ฉีเฟยฟ้าน แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการที่จะเข้าพบเพื่อกล่าวขอบคุณและแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูของพวกเขาที่ได้ถูกช่วยชีวิตเอาไว้ นอกจากนี้มันยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งก็คือความตื้นเต้นที่พวกเขาอยากจะพบเห็นวีรบุรุษที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นตำนานที่ยังคงมีชีวิตอยู่เช่นเขา

          " ดีในเมื่อพวกเราเห็นผองตรงกันก็ไม่ควรที่จะเสียเวลาอยู่เช่นนี้ เราควรรีบไปขอบคุณเชาเพื่อเป็นการแสดงถึงความหตัญญูของพวกเรา " เย่ฟงกล่าว

          " จะว่าไปแล้ว...น้องเล็ก การประลองศิษย์เมล็ดพันธุ์จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ หากเจ้าคิดที่จะเข้าร่วมเจ้าก็ควรรีบไปลงทะเบียนเสียเดี้ยวนี้เลย! " เย่หรูเชว่ กล่าวถาม เพราะในเวลานี้มีเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับการประลองศิษย์เมล็ดพันธุ์ที่ เย่ชีเหวิน กำลังจะเข้าร่วม ภายในดวงตาของนางนั้นต่างเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความหวังและความตื่นเต้นที่ลุกโชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม