บทที่ 136 - พยัคฆ์ปะทะมังกร

คู่ต่อสู้รอบที่ 2 ของ เย่ชีเหวิน ได้ประกาศของขอยอมรับความพ่ายแพ้ ส่งผลให้ เย่ชีเหวิน ได้รับชัยชนะไปโดยปริยาย โดยที่ไม่สูญเสียเหงื่อเลยแม้แต่หยดเดี่ยว

          " เย่ชีเหวิน ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะสามารถผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 ได้ แต่อีกไม่นานหรอกเจ้าจะต้องตาย จงมีความสุขเสียให้พอในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเจ้าเสียเถอะ ในขณะที่เจ้ายังทำได้ " ขณะที่ เย่ชีเหวิน กำลังก้าวเดินลงจากเวที ก็ได้มีเสียงเยาะเย้ยถากถางถึงชื่อนามของเขาดังมาจากมุมหนึ่งของสนามลานประลอง เมื่อ เย่ชีเหวิน หันกลับและพยายามที่จะหาต้นตอของเสียง เขาก็ได้พบกับความจริงว่ามันคือเสียงของขุนนางหนุ่มที่ได้เข้ามาหาเรื่องเขาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและจบลงด้วยความพ่ายแพ้และได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย

เย่ชีเหวิน ได้สังเกตขุนนางหนุ่มผู้นี้อย่างละเอียดถีถ้วน ซึ่งก็พบว่าอาการบาดเจ็บของเขาได้ถูกรักษาแล้วจนหายขาด นอกจากนี้ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กลิ่นอายของเขามันดูแข็งแกร่งมากขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่าอยู่ในระดับที่น่ากลัวเมื่อเทียบกับตัวเขาก่อนหน้านี้ จาก[ระดับขั้นเสี่ยวดินแดนลมปราณก่อเกิด]กลายเป็น[ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]ภายในระยะเวลาอันสั่น

การจะก้าวข้ามผ่านประตูธรณีตัดผ่านไปยังระดับขั้นต่อไปนั้นมิใช่สิ่งที่ใครจะสามารถทำได้โดยง่าย เพราะการก้าวผ่านประตูธรณีเพื่อพัฒนาไปยังระดับขั้นต่อไปจะทำให้พวกเขาบรรลุพลังอำนาจและความแข็งแกร่งรูปแบบใหม่ ซึ่งนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีขนาดใหญ่

แต่อย่างไรก็ตามครั้งสุดท้ายที่ เย่ชีเหวิน ได้เห็นขุนนางหนุ่มผู้นี้ เขาก็สัมผัสได้ว่ามันยังคงเป็นเส้นทางที่ยาวไกลสำหรับเขาที่จะสามารถก้าวข้ามผ่านประตูธรณีเพื่อไปยัง[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]ได้ ตามที่ เย่ชีเหวิน ได้คาดการณ์ไว้ อย่างน้อยมันก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลามากกว่าถึง 10 ปี ที่ขุนนางหนุ่มผู้นี้จึงจะสามารถตัดผ่านได้สำเร็จ

แม้ว่า 10 ปี มันจะดูเหมือนนานมาก หากแต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิดที่มีอายุยืนยาวกว่า 200 ปี แล้วมันก็เป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั่น ๆ หากเปรียบเทียบในเรื่องของเวลา

นอกจากนี้ระหว่าง[ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]และ[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]นั้นก็เปรียบเสมือนเป็นช่องว่างขนาดใหญ่หรือทางแยกของชีวิต ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิดมากกว่าครึ่ง ต่างก็ติดอยู่ที่[ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]และไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปยัง[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]ได้ แม้ว่าจะใช้เวลาทั่งชีวิตของพวกเขาก็ตามที

แต่สำหรับเหล่าศิษย์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์และได้รับความโปรดปรานจากทางสำนักจะถูกมอบทรัพยากรให้เป็นจำนวนมากเพื่อนำมาบ่มเพาะพลัง ฉะนั้นแล้วการจะตัดผ่านไปยัง[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]โดยใช้ระยะเวลากว่า 10 ปีก็ไม่นับว่านานเกินเลย เลยแม้แต่น้อย

แต่ทว่าในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ไม่เพียงแค่ขุนนางหนุ่มผู้นี้จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสจนหายขาดได้ แต่ยังกลับสามารถตัดผ่านไปยัง[ระดับจุดสูงสุดระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]

ความเร็วในระดับนี้มันนับว่าเกินสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วไปแล้ว แม้เมื่อเทียบกับการพัฒนาที่รวดเร็วดุจสายน้ำที่เชี่ยวกราดของ เย่ชีเหวิน ก็มิได้นับว่าช้าหรือด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย
       
ในดวงตาของขุนนางหนุ่มผู้นี้ต่างเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอันแรงกล้าในขณะที่เขาจับจ้องมองมาที่ เย่ชีเหวิน แม้แต่ เย่ชีเหวิน เองก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงเจตนาฆ่านั้นจากภายในดวงตาของเขาและใบหน้าที่แสดงออกให้เห็นถึงความเกลียดชังที่หยั่งลึก เย่ชีเหวิน มิเคยคาดคิดมาก่อนว่าบุคคลที่เคยพ่ายแพ้ให้กับเขาอย่างหมดท่าจะสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้น่ากลัวถึงเพียงนี้ ผลกระทบจากความพ่ายแพ้ที่ได้รับจาก เย่ชีเหวิน ได้กลายเป็นแรงผลักดันและความเกลียดชังที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจของขุมนางหนุ่ม!
       
แต่เริ่มเดิมที่ขุนนางหนุ่มผู้นี้ก็มิได้หยิ่งผยองในยศถาบรรดาศักดิ์ของตนนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาได้เข้ามายังสำนักยี่หยวน หากแต่มันเริ่มขึ้นนับจากนั้นที่ความแข็งแกร่งของเขาได้กลายเป็นที่ประจักษ์และโดดเด่นในคนหมู่มาก เขาจึงตระหนักได้ว่าบางทีเขาอาจจะใช้อำนาจจากสถานะของตนข่มผู้ที่อ่อนแอกว่าให้เชื่อฟังได้ แต่สุดท้ายมันก็กลับกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เขาหลงคิดว่า เย่ชีเหวิน นั้นอ่อนแอและพยายามที่จะข่ม เย่ชีเหวิน ด้วยสถานะของตน จะมีใครเล่าที่คาดคิดว่าศิษย์ใหม่ที่พึ่งก้าวเข้ามายังสำนักในปีนี้จะมีความเก่งกาจมากถึงเพียงนั้น แม้จะใช้ทุกอย่างที่มีเข้าต่อกรแต่ก็ยังพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของศิษย์ผู้อาวุโสเขาจึงไม่อาจยอมรับให้ถูกเหยียบย่ำเช่นนี้ได้
       
เย่ชีเหวิน ที่สามารถรับรู้ได้ถึงเจตนาฆ่าที่พุ่งตรงเข้ามาจึงทำให้เขาสามารถคาดเดาได้ถึงความคิดของขุนนางหนุ่มผู้นี้ที่วางแผนกะจะฆ่าเขาบนเวทีประลอง แม้ว่าตามกฏของสำนักยี่หยวนการฆ่าศิษย์ร่วมสำนักจะทำให้ได้รับโทษร้ายแรง แต่ถ้าแค่ได้รับบาดเจ็บไม่ถึงตายก็จะมิได้รับโทษใด ๆ อย่าลืมว่าสำนักยี่หยวนนั้นเป็นสำนักใหญ่การบาดเจ็บล้มตายในแต่ละวันจึงต้องมีบาง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั้นมีนับไม่ถ้วนบ้างแขนขาขาดก็ยังมี แต่ถ้าได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การจะต่อแขนขาขึ้นมาใหม่ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
       
ฉะนั้นภายในสำนักยี่หยวนจึงได้มีการต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา หากแต่มีน้อยคนนักที่เลือกฆ่าฝ่ายตรงข้ามของพวกเขา ครั้งสุดท้าย เย่ชีเหวิน เพียงแค่จัดการกับขุนนางหนุ่มและฝากบาดแผลฉกรรจ์ไว้กับเขา แต่ก็ไม่เลือกคิดที่จะฆ่า
       
มีเพียง 2 สถานที่เท่านั้นที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ของสำนัก คือ ลานประลองความเป็นและความตาย กับ การประลองสาธารณะที่เป็นทางการ ซึ่งจะไม่มีการจำกัดกฏเกณฑ์ใด ๆ ทั้งนั้น นอกจากนี้การประลองในครั้งนี้ยังเป็นการชิงชัยกันระหว่างศิษย์เมล็ดพันธุ์และศิษย์ที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าศิษย์เมล็ดพันธุ์ ซึ่งย่อมเป็นที่แน่นอนว่าการต่อสู่ของพวกเขาจะรุนแรงกว่าศิษย์ธรรมดาสามัญทั่วไป หากประมาทแม้เพียงนิดก็อาจเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้หรือแม้กระทั่งอาจนำไปสู่การบาดเจ็บสาหัสได้ หากฝ่ายตรงข้ามมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวหรือทัดเทียมกับเรา ก็อาจเป็นคู่ต่อสู้ที่ควรประมาท!
       
          " หากเจ้ามีความคิดเช่นนั้นแล้วข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ได้คิดเช่นนั่น " เย่ชีเหวิน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไปทางขุนนางหนุ่ม

          " ฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่า! " ขุนนางหนุ่มเริ่มหัวเราะเสียงดังลั่นด้วยท่าทีที่ลำพองพลางฉีกยิ้มที่ดูน่ากลัวจับใจพร้อมโต้กลับว่า " เจ้าได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้าแล้วที่ได้ไปยุ่งกับบุคคลที่ไม่ควรไปยุ่งและเป็นเพราะเขาที่ทำให้ข้าแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เพื่อเอาชีวิตของเจ้า! "

          " นั้นเจ้ากำลังกล่าวถึง ลู่ยี่ฟาน? " เย่ชีเหวิน กล่าวถาม

          " หึ! " ขุนนางหนุ่มพ่นลมหายใจแทนการตอบคำถามของ เย่ชีเหวิน ซึ่งมันก็ดูเหมือนว่า เย่ชีเหวิน จะได้คำตอบในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว
       
ว่าแท้จริงทั้งหมดนี่คือฝีมือของชาติชั่ว ลูยี่ฟาน ในเวลานั้นที่ เย่ชีเหวิน ได้เผชิญหน้ากับ ลู่ยี่ฟาน มันก็เป็นเพราะว่าตัวมันนั้นไม่มีหลักฐานมากพอที่จะเอาผิด เย่ชีเหวิน บวกดับพยานที่รู้เห็นมากเกินไป ลู่ยี่ฟาน จึงไม่อาจฆ่า เย่ชีเหวิน ได้โดยตรง หากแต่หลังจากที่เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไปก็มีความเป็นไปได้ที่ ลู่ยี่ฟาน จะรู้สึกถึงความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เขามิได้ฆ่า เย่ชีเหวิน เสียตั้งแต่ที่เขามีโอกาส แต่ถึงอย่างนั้น ลู่ยี่ฟาน ก็ไม่อาจตรงมาฆ่า เย่ชีเหวิน ได้โดยตรงเพราะมันอาจทำให้เขาต้องพบเจอกับปัญหาที่ยุ่งยากตาม
       
ขุนนางหนุ่มมิได้ยืนอยู่นานนักก่อนที่จะเดินจากไป เย่ชีเหวิน ได้จับจ้องมองไปที่ด้านหลังของเขาด้วยสายตาที่ดูหมิ่น ภายในใจของเขามิได้มีแม้แต่เศษเสี่ยวเดียวที่จะหลงไปกับคำยั่วยุของขุนนางหนุ่ม เพราะสำหรับ เย่ชีเหวิน แล้วขุนนางหนุ่มผู้นี้มิได้มีอะไรที่ทำให้เขาต้องรู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะตัดผ่านไปยัง[ระดับขั้นจุดสูงสุดขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]แล้วก็ตาม นั่นก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ที่จะสามารถต่อกรกับ เย่ชีเหวิน ได้!

          " เย่ชีเหวิน , จางชิ! "
       
ไม่นานชื่อของ เย่ชีเหวิน ก็ได้ถูกป่าวประกาศอีกครั้งในการประลองรอบที่ 3 ซึ่งฝ่ายตรงข้ามของเขาคือศิษย์เมล็ดพันธุ์ แต่นั่นก็ดูเหมือนว่า เย่ชีเหวิน จะมิได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าการประลองในรอบที่ 3 คือที่มั่นของเหล่าผู้ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าหากคู่ต้อสู้ในรอบนี้ของ เย่ชีเหวิน จะมิได้เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นศิษย์ที่มีความแข็งแกร่งที่เทียบเท่าได้กับศิษย์เมล็ดพันธุ์
       
คู่ต่อสู้รอบที่ 2 ของ เย่ชีเหวิน ได้ประกาศของขอยอมรับความพ่ายแพ้ ส่งผลให้ เย่ชีเหวิน ได้รับชัยชนะไปโดยปริยาย โดยที่ไม่สูญเสียเหงื่อเลยแม้แต่หยดเดี่ยว

          " เย่ชีเหวิน ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะสามารถผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 ได้ แต่อีกไม่นานหรอกเจ้าจะต้องตาย จงมีความสุขเสียให้พอในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเจ้าเสียเถอะ ในขณะที่เจ้ายังทำได้ " ขณะที่ เย่ชีเหวิน กำลังก้าวเดินลงจากเวที ก็ได้มีเสียงเยาะเย้ยถากถางถึงชื่อนามของเขาดังมาจากมุมหนึ่งของสนามลานประลอง เมื่อ เย่ชีเหวิน หันกลับและพยายามที่จะหาต้นตอของเสียง เขาก็ได้พบกับความจริงว่ามันคือเสียงของขุนนางหนุ่มที่ได้เข้ามาหาเรื่องเขาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและจบลงด้วยความพ่ายแพ้และได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย

เย่ชีเหวิน ได้สังเกตขุนนางหนุ่มผู้นี้อย่างละเอียดถีถ้วน ซึ่งก็พบว่าอาการบาดเจ็บของเขาได้ถูกรักษาแล้วจนหายขาด นอกจากนี้ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กลิ่นอายของเขามันดูแข็งแกร่งมากขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่าอยู่ในระดับที่น่ากลัวเมื่อเทียบกับตัวเขาก่อนหน้านี้ จาก[ระดับขั้นเสี่ยวดินแดนลมปราณก่อเกิด]กลายเป็น[ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]ภายในระยะเวลาอันสั่น

การจะก้าวข้ามผ่านประตูธรณีตัดผ่านไปยังระดับขั้นต่อไปนั้นมิใช่สิ่งที่ใครจะสามารถทำได้โดยง่าย เพราะการก้าวผ่านประตูธรณีเพื่อพัฒนาไปยังระดับขั้นต่อไปจะทำให้พวกเขาบรรลุพลังอำนาจและความแข็งแกร่งรูปแบบใหม่ ซึ่งนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีขนาดใหญ่

แต่อย่างไรก็ตามครั้งสุดท้ายที่ เย่ชีเหวิน ได้เห็นขุนนางหนุ่มผู้นี้ เขาก็สัมผัสได้ว่ามันยังคงเป็นเส้นทางที่ยาวไกลสำหรับเขาที่จะสามารถก้าวข้ามผ่านประตูธรณีเพื่อไปยัง[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]ได้ ตามที่ เย่ชีเหวิน ได้คาดการณ์ไว้ อย่างน้อยมันก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลามากกว่าถึง 10 ปี ที่ขุนนางหนุ่มผู้นี้จึงจะสามารถตัดผ่านได้สำเร็จ
       
แม้ว่า 10 ปี มันจะดูเหมือนนานมาก หากแต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิดที่มีอายุยืนยาวกว่า 200 ปี แล้วมันก็เป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั่น ๆ หากเปรียบเทียบในเรื่องของเวลา
       
นอกจากนี้ระหว่าง[ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]และ[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]นั้นก็เปรียบเสมือนเป็นช่องว่างขนาดใหญ่หรือทางแยกของชีวิต ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระดับขั้นดินแดนลมปราณก่อเกิดมากกว่าครึ่ง ต่างก็ติดอยู่ที่[ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]และไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปยัง[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]ได้ แม้ว่าจะใช้เวลาทั่งชีวิตของพวกเขาก็ตามที
       
แต่สำหรับเหล่าศิษย์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์และได้รับความโปรดปรานจากทางสำนักจะถูกมอบทรัพยากรให้เป็นจำนวนมากเพื่อนำมาบ่มเพาะพลัง ฉะนั้นแล้วการจะตัดผ่านไปยัง[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]โดยใช้ระยะเวลากว่า 10 ปีก็ไม่นับว่านานเกินเลย เลยแม้แต่น้อย
       
แต่ทว่าในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ไม่เพียงแค่ขุนนางหนุ่มผู้นี้จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสจนหายขาดได้ แต่ยังกลับสามารถตัดผ่านไปยัง[ระดับจุดสูงสุดระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]
       
ความเร็วในระดับนี้มันนับว่าเกินสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วไปแล้ว แม้เมื่อเทียบกับการพัฒนาที่รวดเร็วดุจสายน้ำที่เชี่ยวกราดของ เย่ชีเหวิน ก็มิได้นับว่าช้าหรือด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย
       
ในดวงตาของขุนนางหนุ่มผู้นี้ต่างเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอันแรงกล้าในขณะที่เขาจับจ้องมองมาที่ เย่ชีเหวิน แม้แต่ เย่ชีเหวิน เองก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงเจตนาฆ่านั้นจากภายในดวงตาของเขาและใบหน้าที่แสดงออกให้เห็นถึงความเกลียดชังที่ยั่งลึก เย่ชีเหวิน มิเคยคาดคิดมาก่อนว่าบุคคลที่เคยพ่ายแพ้ให้กับเขาอย่างหมดท่าจะสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้น่ากลัวถึงเพียงนี้ ผลกระทบจากความพ่ายแพ้ที่ได้รับจาก เย่ชีเหวิน ได้กลายเป็นแรงผลักดันและความเกลียดชังที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจของขุมนางหนุ่ม!
       
แต่เริ่มเดิมที่ขุนนางหนุ่มผู้นี้ก็มิได้หยิ่งผยองในยศถาบรรดาศักดิ์ของตนนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาได้เข้ามายังสำนักยี่หยวน หากแต่มันเริ่มขึ้นนับจากนั้นที่ความแข็งแกร่งของเขาได้กลายเป็นที่ประจักษ์และโดดเด่นในคนหมู่มาก เขาจึงตระหนักได้ว่าบางทีเขาอาจจะใช้อำนาจจากสถานะของตนข่มผู้ที่อ่อนแอกว่าให้เชื่อฟังได้ แต่สุดท้ายมันก็กลับกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เขาหลงคิดว่า เย่ชีเหวิน นั้นอ่อนแอและพยายามที่จะข่ม เย่ชีเหวิน ด้วยสถานะของตน จะมีใครเล่าที่คาดคิดว่าศิษย์ใหม่ที่พึ่งก้าวเข้ามายังสำนักในปีนี้จะมีความเก่งกาจมากถึงเพียงนั้น แม้จะใช้ทุกอย่างที่มีเข้าต่อกรแต่ก็ยังพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของศิษย์ผู้อาวุโสเขาจึงไม่อาจยอมรับให้ถูกเหยียบย่ำเช่นนี้ได้
       
เย่ชีเหวิน ที่สามารถรับรู้ได้ถึงเจตนาฆ่าที่พุ่งตรงเข้ามาจึงทำให้เขาสามารถคาดเดาได้ถึงความคิดของขุนนางหนุ่มผู้นี้ที่วางแผนกะจะฆ่าเขาบนเวทีประลอง แม้ว่าตามกฏของสำนักยี่หยวนการฆ่าศิษย์ร่วมสำนักจะทำให้ได้รับโทษร้ายแรง แต่ถ้าแค่ได้รับบาดเจ็บไม่ถึงตายก็จะมิได้รับโทษใด ๆ อย่าลืมว่าสำนักยี่หยวนนั้นเป็นสำนักใหญ่การบาดเจ็บล้มตายในแต่ละวันจึงต้องมีบาง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั้นมีนับไม่ถ้วนบ้างแขนขาขาดก็ยังมี แต่ถ้าได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การจะต่อแขนขาขึ้นมาใหม่ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
       
ฉะนั้นภายในสำนักยี่หยวนจึงได้มีการต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา หากแต่มีน้อยคนนักที่เลือกฆ่าฝ่ายตรงข้ามของพวกเขา ครั้งสุดท้าย เย่ชีเหวิน เพียงแค่จัดการกับขุนนางหนุ่มและฝากบาดแผลฉกรรจ์ไว้กับเขา แต่ก็ไม่เลือกคิดที่จะฆ่า
       
มีเพียง 2 สถานที่เท่านั้นที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ของสำนัก คือ ลานประลองความเป็นและความตาย กับ การประลองสาธารณะที่เป็นทางการ ซึ่งจะไม่มีการจำกัดกฏเกณฑ์ใด ๆ ทั้งนั้น นอกจากนี้การประลองในครั้งนี้ยังเป็นการชิงชัยกันระหว่างศิษย์เมล็ดพันธุ์และศิษย์ที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าศิษย์เมล็ดพันธุ์ ซึ่งย่อมเป็นที่แน่นอนว่าการต่อสู่ของพวกเขาจะรุนแรงกว่าศิษย์ธรรมดาสามัญทั่วไป หากประมาทแม้เพียงนิดก็อาจเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้หรือแม้กระทั่งอาจนำไปสู่การบาดเจ็บสาหัสได้ หากฝ่ายตรงข้ามมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวหรือทัดเทียมกับเรา ก็อาจเป็นคู่ต่อสู้ที่ควรประมาท!
       
          " หากเจ้ามีความคิดเช่นนั้นแล้วข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ได้คิดเช่นนั่น " เย่ชีเหวิน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไปทางขุนนางหนุ่ม

          " ฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่า! " ขุนนางหนุ่มเริ่มหัวเราะเสียงดังลั่นด้วยท่าทีที่ลำพองพลางฉีกยิ้มที่ดูน่ากลัวจับใจพร้อมโต้กลับว่า " เจ้าได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้าแล้วที่ได้ไปยุ่งกับบุคคลที่ไม่ควรไปยุ่งและเป็นเพราะเขาที่ทำให้ข้าแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เพื่อเอาชีวิตของเจ้า! "

          " นั้นเจ้ากำลังกล่าวถึง ลู่ยี่ฟาน? " เย่ชีเหวิน กล่าวถาม

          " หึ! " ขุนนางหนุ่มพ่นลมหายใจแทนการตอบคำถามของ เย่ชีเหวิน ซึ่งมันก็ดูเหมือนว่า เย่ชีเหวิน จะได้คำตอบในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว
       
ว่าแท้จริงทั้งหมดนี่คือฝีมือของชาติชั่ว ลูยี่ฟาน ในเวลานั้นที่ เย่ชีเหวิน ได้เผชิญหน้ากับ ลู่ยี่ฟาน มันก็เป็นเพราะว่าตัวมันนั้นไม่มีหลักฐานมากพอที่จะเอาผิด เย่ชีเหวิน บวกดับพยานที่รู้เห็นมากเกินไป ลู่ยี่ฟาน จึงไม่อาจฆ่า เย่ชีเหวิน ได้โดยตรง หากแต่หลังจากที่เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไปก็มีความเป็นไปได้ที่ ลู่ยี่ฟาน จะรู้สึกถึงความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เขามิได้ฆ่า เย่ชีเหวิน เสียตั้งแต่ที่เขามีโอกาส แต่ถึงอย่างนั้น ลูยี่ฟาน ก็ไม่อาจตรงมาฆ่า เย่ชีเหวิน ได้โดยตรงเพราะมันอาจทำให้เขาต้องพบเจอกับปัญหาที่ยุ่งยากตาม
       
ขุนนางหนุ่มมิได้ยืนอยู่นานนักก่อนที่จะเดินจากไป เย่ชีเหวิน ได้จับจ้องมองไปที่ด้านหลังของเขาด้วยสายตาที่ดูหมิ่น ภายในใจของเขามิได้มีแม้แต่เศษเสี่ยวเดียวที่จะหลงไปกับคำยั่วยุของขุนนางหนุ่ม เพราะสำหรับ เย่ชีเหวิน แล้วขุนนางหนุ่มผู้นี้มิได้มีอะไรที่ทำให้เขาต้องรู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะตัดผ่านไปยัง[ระดับขั้นจุดสูงสุดขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]แล้วก็ตาม นั่นก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ที่จะสามารถต่อกรกับ เย่ชีเหวิน ได้!

          " เย่ชีเหวิน , จางชิ! "
       
ไม่นานชื่อของ เย่ชีเหวิน ก็ได้ถูกป่าวประกาศอีกครั้งในการประลองรอบที่ 3 ซึ่งฝ่ายตรงข้ามของเขาคือศิษย์เมล็ดพันธุ์ แต่นั่นก็ดูเหมือนว่า เย่ชีเหวิน จะมิได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าการประลองในรอบที่ 3 คือที่มั่นของเหล่าผู้ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าหากคู่ต้อสู้ในรอบนี้ของ เย่ชีเหวิน จะมิได้เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นศิษย์ที่มีความแข็งแกร่งที่เทียบเท่าได้กับศิษย์เมล็ดพันธุ์
       
ในการประลองศิษย์เมล็ดพันธุ์รอบที่ 3 แม้ว่ามันจะต้องพึ่งโชคอยู่บ้าง แต่ความแข็งแกร่งก็ถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

แต่สำหรับ เย่ชีเหวิน แล้ว ไม่ว่าเขาจะต้องพบเจอกับผู้ใดมันก็ไม่สำคัญ หากเขาสามารถเอาชนะการประลองในรอบที่ 3 ไปได้ เขาก็จะก้าวเข้าสู่การจัดอันดับ 100 อันดับแรกของศิษย์เมล็ดพันธุ์

แต่อย่างไรก็ตามคู่ต่อสู้ของเขาในรอบนี้คือ จางชิ ศิษย์เมล็ดพันธุ์ที่ถูกจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 19 จาก 100 อันดับแรก ทั่วร่างของเขาต่างถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายที่น่ากลัว ด้วยออร่าและรัศมีที่เด่นชัดจึงเป็นตัวบ่งบอกว่าอีกเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้นที่เขาจะสามารถก้าวเข้าสู่[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]ได้ด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนี้

จางชิ ได้จับจ้องมองไปที่ เย่ชีเหวิน พลางกล่าวว่า “ ศิษย์น้องเย่ เจ้ามีความแข็งแกร่งมาก แต่ทว่านี่ถึงคราวที่เจ้าจะต้องพ่ายแพ้ เพราะข้าจะก้าวขึ้นไปสู่การจัดอันดับ 20 คนแรกให้จงได้ ”

ใบหน้าของ จางชิ ต่างเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า แต่ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของ เย่ชีเหวิน ที่ได้แสดงออกมาก่อนหน้านี้ จึงไม่มีใครกล้าที่จะประมาทเขาและมีหลายคนที่สงสัยว่าบางที เย่ชีเหวิน อาจก้าวเข้ามาใน[ระดับขั้นเสี่ยวดินแดนลมปราณก่อเกิด]แล้วก็เป็นได้

แต่ถึงอย่างนั้น จางชิ ก็ยังคงต้องการที่จะก้าวขึ้นไปสู่การจัดอันกับ 20 คนแรก เพราะเขาต้องการเม็ดยาที่มีชื่อว่า[เม็ดยาหลอมชีวิต] โดยผู้ที่ใช้[เม็ดยาหลอมชีวิต]จะมีโอกาสเพิ่มขึ้น 30% ในการตัดผ่านไปยัง[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด] โดยตัวยานั้นเป็นชนิดที่หาได้ยากยิ่งและมีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญ[ระดับขั้นดินแดนลมปราณแท้จริง]เท่านั้นที่จะกลั่นมันได้ แต่ทว่าด้วยอัตราความสำเร็จที่ต่ำและเป็นเพียงแค่ความก้าวหน้าจาก[ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 5 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]ไปยัง[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด] เหล่าผู้เชี่ยวชาญ[ระดับขั้นดินแดนลมปราณแท้จริง]จึงไม่นิยมที่จะกลั่นมัน ในการแข่งขันการประลองศิษย์เมล็ดพันธุ์ในปีที่ผ่านมามีเพียงแค่ 3 อันดับแรกเท่านั้นที่ได้รับ[เม็ดยาหลอมชีวิต]เป็นรางวัล หลังจากที่ผู้ชนะเลิศทั้ง 3 ได้ทานมันทำให้พวกเขานั้นสามารถตัดผ่านไปยัง[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]ได้สำเร็จและกลายเป็นสานุศิษย์ฝ่ายหลักในที่สุด
       
แต่ทว่าในการประลองครั้งนี้มันแตกต่างกัน เนื่องจากการรุกรานของพวก[ศิษย์ลัทธิมาร] จึงให้ทางสำนักตัดสินใจมอบรางวัลให้กับผู้ชนะมากมายมหาศาล หากพวกเขาได้รับ[เม็ดยาหลอมชีวิต] ก็จะทำให้การบ่มเพาะพลังของพวกเขาย่นระยะเวลาไปได้นับหลายเดือน ยิ่งกว่านั้นในการประลองวัดความแข็งแกร่งของเหล่าศิษย์ 5 มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ก็จะช่วยทำให้พวกเขาถูกจัดอันดับให้อยู่ในระดับที่ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็นับว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมและได้รับผลประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย
       
( GaTi3B // 5 มหาอำนาจคือ 4 สำนักใหญ่ + กับพวกราชวงศ์ของจักรวรรดิ )
       
นอกจากนี้พวกเขาจะได้รับการหนุนหลังจากทางสำนัก ซึ่งจะช่วยพวกเขาในเรื่องทรัพยากรเป็นระยะยาว
       
แต่อย่างไรก็ตาม การแข่งขันศิษย์เมล็ดพันธุ์ในปีนี้ ถือเป็นก้าวแรกและก้าวที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา

          " ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะทำให้ดีที่สุด เพื่อการแลกเปลี่ยนของพวกเรา " เย่ชีเหวิน ที่เห็นความมุ่งมั่นและความตั้งใจอันแรงกล้าที่ต้องการจะชนะในสายตาคู่ต่อสู้ของเขา แต่แน่นอนสำหรับการประลองในรอบนี้ เขาไม่มีทางที่จะยอมแพ้

          " ศิษย์น้องเย่ พร้อมรับมือ " จางชิ ตะโกนพร้อมกับกลิ่นอายที่ดูน่ากลัวแพร่ออกมาจากร่างกายของเขา พร้อมกับใบมีดที่ถูกชักออกจากฝัก ซึ่งดูเหมือนว่าประสิทธิภาพของมันนั้นจะอยู่ในระดับที่เหนือกว่าใบมีดของ เย่ชีเหวิน และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือเหนือใบมีดขึ้นไปได้ปรากฏรูปร่างของพยัคฆ์ขาวคำรามพุ่งตรงมาทาง เย่ชีเหวิน หากคาดเดาไม่ผิดจะต้องมีสักคนได้สลัก[เขตแดนความคิด]ของพยัคฆ์ขาวลงไปที่ตัวใบมีดนั่น จึงทำให้มันแสดงภาพที่ดูน่ากลัวและรุนแรงเช่นนั้นออกมาได้ ซึ่งแน่นอนว่าใบมีดนี้มั่นเหมาะที่จะเป็น[ศาสตราวุธแห่งวิญญาณเทียม]

          " ศิษย์น้องเย่ โปรดระวัง! " จางชิ กล่าวเตือน เย่ชีเหวิน อย่างทันท่วงที แม้ว่าในการประลองครั้งนี้เขาต้องการที่จะชนะ แต่เขาก็มิใช่คนที่โหดร้าย เขาทราบดีถึงความน่ากลัวและแรงกดดันของพยัคฆ์ขาวที่ซุกซ่อนอยู่ภายในคมมีดของเขา แต่แน่นอนว่าเขานั้นไม่ต้องการที่จะปิดบังข้อเท็จจริงนี้กับศิษย์ใหม่ที่มีความสามารถเฉกเช่น เย่ชีเหวิน
       
เย่ชีเหวิน มิได้พูดอะไร แต่ใบหน้าของเขากลับกลายเป็นเคร่งขรึมและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เขาเริ่มควบคุม พลังปราณหยวน ภายในร่างกายให้แปรสภาพกลายเป็น พลังปราณชี่ จนก่อให้เกิดกลายเป็นกลิ่นอายและแรงกัดดันที่น่ากลัว
       
พลังปราณหยวน ที่ก่อรูปขึ้นแน่นอนว่าย่อมมีความบริสุทธิ์และเข้มข้นกว่า พลังปราณชี่ ที่เปรียบเสมือนเป็นเพียงพลังปราณธรรมดาทั่วไป แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่จำนวนน้อยนิดของ พลังปราณหยวน ก็อาจแปรสภาพกลายเป็น พลังปราณชี่ ได้มากมายมหาศาล เย่ชีเหวิน ที่แปรสภาพ พลังปราณหยวน ส่วนหนึ่งภายในร่างกายให้กลายเป็น พลังปราณชี่ ก็ได้ส่งผลให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนต่อชั้นบรรยากาศโดยรอบ เมื่อเทียบกับกลิ่นอายและแรงกดดันอันน่ากลัวที่พุ่งตรงเข้ามาของ จางชิ มันก็มิได้มีความรู้สึกที่ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย

          " ย่ะ! " จางชิ ตะโกนเสียงดังพร้อมกับสับใบมีดคมยาวออกไป เพียงชั่วพริบตาแรงกดดันและกลิ่นอายของ พลังปราณชี่ ที่ไม่มีที่สิ้นสุดผันแปรกลายเป็น คมมีดประกายแสง พุ่งตรงไปทาง เย่ชีเหวิน พร้อมกับส่งเสียงโหยหวนที่เชือดเฉือนต่อชั้นบรรยากาศฉับพลัน คมมีดประกายแสง ที่พุ่งตรงเข้าไปอย่างรวดเร็วก็ได้แปรสภาพกลายเป็นพยัคฆ์ขาวที่ดุร้าย แต่ในขณะเดี่ยวกันก็ได้มีเสียงคำรามกู้ร้องลงมาจากฟากฟ้ามันคือร่างแปลงกายของมังกร!
       
ฝ่ามือของ เย่ชีเหวิน ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นกรงเล็บมังกรอย่างฉับพลัน ในขณะทีท้องฟ้าได้กู้ร้องเสียงคำรามของมังกรพลันปรากฏกรงเล็บขนาดใหญ่ของมังกรในด้านหน้าของพยัคฆ์ขาว กรงเล็บขนาดใหญ่ของมังกรได้กดลงมาจากท้องฟ้าและประทับลงบนร่างของพยัคฆ์ขาวเพื่อหยุดยั้งมัน

          " ตูม! "
       
ฝ่ามือกรงเล็บมังกรของ เย่ชีเหวิน ได้ประทับลงบนร่างของพยัคฆ์ขาวและกดมันติดลงกับพื้นของเวทีสนามประลอง จนกลายเป็นรอยพิมเท้าขนาดใหญ่ของมังกร ขณะที่ร่างของพยัคฆ์ขาวที่ถุกกดลงกับพื้นก็ได้พลันสลายหายไปในทันที เหนือเพียงแต่รอยกรงเล็บมังกรขนาดใหญ่บนเวทีประลอง
       
ในขณะที่จิตวิญญาณขนาดเล็กของพยัคฆ์ขาวถูกทำลายโดยกรงเล็บมังกรของ เย่ชีเหวิน ก็พลันสลายหายไปพร้อมกับเสียงแตก *แคร๊ก แคร๊ก* ที่คลายดุจรอยร้าวของผลึกน้ำแข็ง
       
แต่เพียงแค่ในชั่วอึดใจเดียวก็ได้มี คมมีดประกายแสง พุ่งตรงมาอีกครั้งและผันแปรกลายเป็นพยัคฆ์ขาวพุ่งตรงเข้าใส่ เย่ชีเหวิน
       
เย่ชีเหวิน ตอบสนองในทันทีพร้อมกับยิงฝ่ามือกรงเล็บมังกรออกไป กลายเป็นเสียงคำรามของมังกรพุ่งตรงไปทางพยัคฆ์ขาว
       
การต่อสู้ของพวกเขาทั้ง 2 เริ่มรุนแรงมากขึ้น ทั่วทั้งสนามต่างเต็มไปด้วยการปะทะกันระหว่างพยัคฆ์ขาวและมังกรขด แต่ดูเหมือนว่า เย่ชีเหวิน จะมิได้เป็นกังวลเกี่ยวกับการใช้กระบวนท่าของเขาเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ทางสำนักยี่หยวนรวมไปถึงสำนักสาขาย่อยต่างก็มีเคล็ดวิชาการต่อสู้อยู่มากมายหลากลายชนิด แม้จะเห็นแต่ก็ใช้ว่าจะรู้ถึงชนิดของเคล็ดวิชา นอกจากนี้ เย่ชีเหวิน ยังได้ยินมาจาก หลินเจิ่นเทียน อีกว่าเคล็ดวิชา[ฝ่ามือมังกรขด]นั้น ได้ถูกนำออกมาจากซากปรักหักพังของโบราณสถาน ไม่มีใครที่สามารถฝึกฝนมันได้
       
ในอีกความหมาย เย่ชีเหวิน คือคนแรกนับจากช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาที่สามารถประสบความสำเร็จในการฝึกฝนเคล็ดวิชา[ฝ่ามือมังกรขด] ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วไม่เคยมีผู้ใดสามารถรับรู้ถึงองค์ประกอบของเคล็ดวิชาจึงไม่มีผู้ใดสามารถใช้กระบวนท่านี้ได้
       
นอกจากนี้ภายในสำนักที่มีขนาดใหญ่เช่นยี่หยวน ก็มีศิษย์จำนวนไม่มากนักที่เลือกปิดบังความลับของตน ซึ่งทางสำนักก็มิได้บังคับให้ศิษย์เหล่านั้นต้องคลายความลับในการผจญภัยของพวกเขาออกมา หากแต่เพียงแค่รอเวลาให้ศิษย์เหล่านั้นเปิดเผยมันออกมาด้วยตนเองด้วยความซื่อสัตย์และเที่ยงตรง
       
แต่ถ้าหากในกรณีที่มีใครกล้าที่จะปิดบังความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนอย่างจริงจัง มันจะส่งผลกระทบให้กับความแข็งแกร่งโดยรวมของสำนักอย่างใหญ่หลวง
       
แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าผลของการต่อสู้ในครั้งนี้ใกล้จะมาถึงจุดตัดสินแล้ว
       
**************************************
B1 : อ้าว ลู่ยี่ฟาน ลู่ยี่ฟาน อีกแล้ว 55555 งานนี้[ม.]โดนแน่ รอก่อน ๆ
B2 : อยากเห็น เย่ชีเหวิน กระทืบหน้า ลู่ยี่ฟาน
B3 : เอาว่ะ 1 ในตัวร้ายที่ถูกกระทืบไปแล้วแต่กลับมาผงาดได้เช่นนี้ แสดงว่ามันต้องมีกึ๋น
B4 : ไม่มันก็กลับมาเพื่อให้โดนยำอีกครั้ง = =
B1,B2 : B4 พูดถูก มันกลับมาเพื่อให้เป็นที่รองเท้าสำหรับ พี่เย่ [ก.]เท่านั้นแหละ
B3 : หึ มันก็ยังไม่แน่เสมอไปหรอกไอ้หนึ่งไอ้สอง








2 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม