บทที่ 140 - ผลสรุปการประลอง

          “ … พ่ายแพ้ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จูปิ่งหยุน จะพ่ายแพ้จริง ๆ ! ” 

          “ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเสียเหลือเกิน ใครเล่าจะคาดคิดว่าผู้เชี่ยวชาญ[ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]ที่เพียบพร้อมไปด้วย[ศาสตราวุธแห่งวิญญาณ]อย่าง จูปิ่งหยุน จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้! ” 

          “ ทั้งที่ จูปิ่งหยุน เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญใน[ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด] แต่กลับมิสามารถเอาชนะ เย่ชีเหวิน ที่พึงอาศัยเพียงแค่การปรับแต่ง พลังปราณหยวน เพียงอย่างเดียวได้! ” 

          “ ใช่แล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มการต่อสู้ ก็ไม่มีใครคนไหนคาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเสียจริง ๆ ! ”

          “ ช่างน่าเสียดายที่พวกเขาทั้ง 2 นั้นมิได้เผชิญหน้ากันในรอบรองชนะเลิศ เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ พวกเขาคนหนึ่งก็จะผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย! ”

          “ ว่าแต่เจ้ามิได้ยินที่ เย่ชีเหวิน กล่าวออกมาก่อนหน้านี้อย่างนั้นหรอกหรือ? ที่ว่า จูปิ่งหยุน นั้นได้ทำงานให้กับใครบางคน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาให้มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้! ”

          “ ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงก็มิน่าแปลกใจเลย แม้ว่าข้าจะทราบอยู่ก่อนแล้วว่า จูปิ่งหยุน นั้นเป็นบุคคลที่หยิ่งผยอง หากแต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นก็นับว่าธรรมดามาก แต่แล้วจู่ ๆ ความแข็งแกร่งของเขาก็ได้เพิ่มขึ้นมาอย่างฉับพลันจนน่าตกใจ ข้าแทบมิอยากจะนึกถึงเลยว่า ผู้ใดกันที่เป็นคนอยู่เบื้องหลังความแข็งแกร่งของเขา! ”

          “ นี่เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ว่าก่อนหน้านี้ จูปิ่งหยุน ได้เข้าร่วมกับ[วังแห่งเทพ] ซึ่งเป็นพรรคของศิษย์พี่ ลู่ยี่ฟาน สานุศิษย์ที่แท้จริง , เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วที่พรรคนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดย ศิษย์พี่ลู่ ผู้ซึ่งเป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงและ จูปิ่งหยุน ก็เพิ่งจะได้เข้าร่วมเมื่อเร็ว ๆ นี้! ”

          “ ถ้าเช่นนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของ จูปิ่งหยุน ก็ศิษย์พี่ลู่…… ”

          “ อะแฮ่ม , อะแฮ่ม , พี่ลู่ยี่ฟาน นั้นอยู่ด้านบนของสนามประลอง หากเขาได้ยินเข้า เจ้ายังคิดว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดอยู่อีกหรือไม่ หรือจะบอกว่าเจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว? ” ศิษย์ผู้หนึ่งกล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง

          “ แม้ว่าศิษย์พี่ ลู่ยี่ฟาน จะเป็นสานุศิษย์ที่แท้จริง หากแต่เขาก็ไม่สามารถทำลายกฎเหล็กของทางสำนักได้ แต่กลับกันหากเหล่าศิษย์ที่แท้จริงเลือกที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับศิษย์ภายในพรรคของตน เพื่อหวังที่จะเป็นผู้ชนะเลิศในการประลอง นั่นก็เท่ากับว่าผลของการต่อสู้จะมิได้ถูกล็อคเอาไว้แล้วอย่างนั้นหรอกหรือ หากมันเป็นเช่นนั้นจริงพวกเราจะสามารถทำสิ่งใดได้กัน! ”

โดยทั่วไปแล้ว หลังจากที่ได้ก้าวเข้าสู่[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด] เหล่าสานุศิษย์ก็มักเลือกที่จะก้าวขึ้นไปเป็นสานุศิษย์ฝ่ายหลัก เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับสานุศิษย์ฝ่ายหลักแล้ว พวกเขาจะได้รับการดูแลรักษาที่ดีกว่าเหล่าศิษย์ฝ่ายในอยู่นับหลายเท่า เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าศิษย์ฝ่ายนั้นมีความแข็งแกร่งมากเกินไป หากแต่ก็มีศิษย์จำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่ได้ใช้ช่องโหว่นี้ในการแสวงหาผลประโยชน์

เพราะศิษย์ทุกคนต่างก็มิได้ถูกบังคับให้ต้องขึ้นเป็นศิษย์หลัก พวกเขามีสิทธ์ที่จะเลือกว่าจะก้าวขึ้นไปหรืออยู่ต่อ ดั่งอาทิเช่น จูปิ่งหยุน ที่เข้าร่วมในการประลองศิษย์เมล็ดพันธุ์ ทั้งที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับผู้เชี่ยวชาญ[ระดับจุดสูงสุดขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด] ซึ่งแน่นอนว่ามันนับว่าไม่ผิดกฎ อันที่จริงมีผู้เชี่ยวชาญ[ระดับขั้นที่ 6 ดินแดนลมปราณก่อเกิด]จำนวนมากที่ได้เข้าร่วมในการประลองศิษย์เมล็ดพันธุ์ครั้งนี้

หากนั่นอาศัยเพียงแค่ความแข็งแกร่งที่ได้มาจากการฝึกฝนของตนเองแล้วก็ไม่มีใครที่จะสามารถว่ากล่าวได้ หากแต่ก่อนหน้านี้ เย่ชีเหวิน กับกล่าวออกมาว่า จูปิ่งหยุน นั้นมีได้มีความแข็งแกร่งมากจากการฝึกฝน หากแต่ได้รับการส่งเสริมมาจากผู้อื่น ซึ่งนับว่าเป็นข้อห้ามและผิดกฎการประลองอย่างร้ายแรง

อย่างที่ทราบกันดีว่าตั้งแต่การดูแลรักษาจนไปถึงเรื่องทรัพยากร มันย่อมต้องมีความแตกต่างกันมาอยู่แล้วระหว่างศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ฝ่ายหลัก ซึ่งหากศิษย์ที่เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นศิษย์หลักและมีความมุ่งมั่นที่ต้องการจะเป็นผู้ชนะเลิศในการประลองแล้วล่ะก็มันย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกเขา แต่ถ้าหากเป็นผู้ชนะเลิศในการประลองของพวกศิษย์ฝ่ายในแล้วล่ะก็ นั่นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนหมู่มากนั้นรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องเหล่านี้

ทันทีที่มีการกล่าวถึงว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ก็ได้เกิดเสียงซุบซิบนินทามากมายในฝูงชน ซึ่งมันยังคงมีการพูดคุยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จากที่มันเป็นเพียงแค่การกระซิบ ก็กลับกลายเป็นการพูดคุยกันที่เสียงดังกระหึมไปทั่วทั้งสนามประลอง

เหนือเวทีประลองสูงขึ้นไป ใบหน้าของ ลู่ยี่ฟาน ถึงกับบูดบึ่งจนน่าเกลียด กับเสียงอืออึงที่ดังก้องขึ้นมาจากการซุบซิบของพวกศิษย์ฝ่ายในและนอก หากเป็นกรณีธรรมดาทั่วไป มันย่อมไม่ส่งผลใด ๆ เพราะเหล่าศิษย์ที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องอธิบาย แต่เหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์นั้น นั่นก็เป็นเพราะมาจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด ที่เขายอมปล่อยให้ เย่ชีเหวิน มีชีวิตรอดกลับไปได้ ซึ่งด้วยเหตุนี้เองมันจึงทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก

มันทำให้ความรู้สึกที่ภาคภูมิใจของเขานั้นต้องถูกเหยียบย่ำ!

เย่ชีเหวิน จะต้องตายอย่างทรมาน!

ในหัวใจของ ลู่ยี่ฟาน ต่างลุกโชนไปด้วยความอาฆาตแค้นและเจตนาฆ่า

เย่ชีเหวิน ไม่เพียงแค่มอบความพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาดให้กับ จูปิ่งหยุน เท่านั้น หากแต่ยังทำลายวรยุทธของเขาด้วย ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก โดยที่มิได้มีความยับยั้งชั่งใจเลยแม้แต่น้อย ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีผู้อาวุโสคนไหนสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยได้ นับจากที่พวกเขาได้ก้าวขึ้นมาบนเวทีประลอง ชีวิตและความเป็นความตายของพวกเขาก็ได้ขึ้นอยู่กับคู่ต่อสู้ของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าแทรกแซงหรือตั้งคำถามเกี่ยวกับการกระทำของพวกเขา

เย่ชีเหวิน ทำให้เหล่าศิษย์ฝ่ายในและนอกต่างรู้สึกหวาดกลัว ทั้งความดุดันและการเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย นับตั้งแต่การประลองรอบแรกจนถึงตอนนี้ ด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายนั้น ทำให้ผู้คนจำนวนมากต่างก็คาดคิดว่าเขานั้นได้ผ่อนแรงและความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้ หากแต่ก็มิได้มีใครคาดคิดว่าเขานั้นจะมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ ทั้งยังสามารถปรับแต่ง พลังปราณหยวน ได้อย่างง่ายดาย จึงกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจต่อฝูงชนนับหลายเท่าเมื่อเทียบกับบุคคลที่มีนิสัยเย่อหยิ่งอย่าง จูปิ่งหยุน

เย่ชีเหวิน เป็นเพียงแค่ศิษย์ใหม่ แต่กลับมีความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัว ซึ่งขัดแย้งกับสามัญสำนึกของผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะศิษย์ผู้อาวุโส พวกเขารู้สึกแทบทนไม่ได้จนอยากจะชกกำปั้นเข้ากับผนัง , เป็นเวลานับหลายปีที่พวกเขาได้ก้าวเข้าสู่สำนักหลัก ในขณะที่ เย่ชีเหวิน เพิ่งก้าวเข้ามาได้ไม่ถึงปี , เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วมันมีระยะห่างของเวลาอยู่นับหลายปี หากแต่ความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขาและ เย่ชีเหวิน นั้นกับห่างชั้นกันราวฟ้าดิน

ภายในใจของพวกเขา ตัวตนของ เย่ชีเหวิน เริ่มกลายเป็นบุคคลที่ล้ำลึกสุดหยั่งถึง

ซึ่งเมื่อเทียบกับอาการตื่นตกใจของศิษย์คนอื่น ๆ แล้ว ศิษย์จากพรรค[ขนนกนับพัน]ต่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เพราะด้วยความแข็งแกร่งที่เหลือล้นของ เย่ชีเหวิน มันยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกความปลอดภัย จะไม่มีใครหน้าไหนกล้ารังแกพวกเขาอีก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ภาพของ เย่ชีเหวิน ได้ตราตึงลงไปในใจของ เย่ฟง , เหยียนชือหลิง และเหล่าผู้บริหารระดับสูงของพรรค[ขนนกนับพัน] แม้ว่าพวกเขาจะเป็นถึงบริหารระดับสูงของพรรค[ขนนกนับพัน] หากแต่ เย่ชีเหวิน ไม่เคยมีส่วนร่วมในภารกิจหรือกิจกรรมใด ๆ ของพรรคเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดก็คือผู้ที่จะได้ครองโลก ฉะนั้นแล้วยิ่งเขามีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยังคงได้รับความเคารพจากทุกคน

แน่นอนว่า เย่ฟง และเหล่าผู้บริหารระดับสูงคนอื่น ๆ นั้นมีแข็งแกร่งมาก มีความเป็นไปได้ที่ภายใน 2 ปีหลังจากนี้ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะกลายเป็นที่โดดเด่นเหนือผู้ใดในหมู่ศิษย์ใหม่ทั้งหมดและหากผ่านหลังจากนี้ไปอีกเสียสัก 10 ปี ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นศิษย์หลักและเป็นที่แน่นอนว่าในภายภาคหน้าพวกเขาจะได้เป็นเหล่าสานุศิษย์ที่แท้จริงในที่สุด

แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาในตอนนี้ยังคงมิสามารถนำมาเทียบเคียงกับ เย่ชีเหวิน ได้ คู่ต่อสู้ที่ผ่าน ๆ มาของเขาแม้ว่าจะสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเหล่านั้นต่างก็มีความแกร่งที่น่ากลัว ก่อนหน้านี้ เย่ชีเหวิน ได้บุกฝ่าความยากลำบากและได้ช่วยเหลือชีวิตของพวกเขาเอาไว้ แล้วยิ่งมาตอนนี้เขายังสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญระดับสูงพวกนี้ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้อีก มันยิ่งทำให้ภาพของ เย่ชีเหวิน นั้นตราตรึงลงไปในใจของพวกเขาอย่างฝั่งแน่น ประดุจดั่งน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย ด้วยความเชื่อที่ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหน้าไหนก็มิอาจเอาชนะ เย่ชีเหวิน ของพวกเขาได้!

นี่คือความเชื่อที่จะไม่มีวันเสื่อมคลาย ทุกคนในพรรคต่างมีความเชื่อมั่นเช่นนั้น ซึ่งมันจะนำพาให้พรรคของพวกเขาสามารถพัฒนาไปจนถึงในระดับที่ดีขึ้นได้ แต่ทว่าถานการณ์ภายในพรรค[ขนนกนับพัน]นั้นจะออกแตกต่างไปจากพรรคอื่น ๆ อยู่เล็กน้อย เพราะว่า เย่ชีเหวิน มิได้ให้ความสนใจที่จะเข้ามาจัดการเรื่องภายในพรรคเลยแม้แต่น้อย

โดยไม่คำนึงถึงเสียงอืออึงรอบข้าง เย่ชีเหวิน ได้ก้าวเดินไปยังเบื้องหน้าของ จูปิ่งหยุน ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เย็นชา “ จูปิ่งหยุน ก็อย่างที่ข้าเคยบอกเจ้าว่าถ้าหากเจ้ายังพึ่งพาความสามารถของผู้อื่นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองแล้วเจ้าจะเสียใจ นี่นับว่าโชคดีที่ที่นี่มิใช่สถานที่ลานประลองความเป็นและความตาย หากมิเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นเศษเนื้อที่เน่าเสีย นอนกองอยู่กับพื้น เสียตั้งแต่ตอนนี้! ”

สำหรับ จูปิ่งหยุน แล้ว เย่ชีเหวิน ไม่ต้องการที่จะมอบความเมตตาใด ๆ ให้ทั้งนั้น แม้เพียงเล็กน้อย เฉกเช่นเดียวกับ ลู่ยี่ฟาน พวกเขาทั้ง 2 ต่างก็เป็นผู้ที่หยิ่งในศักดิ์ศรีและไม่ยอมให้ใครมาทำให้มันต้องแปดเปื้อน

แม้วรยุทธจะถูกทำลาย แต่ภายในดวงตาของ จูปิ่งหยุน ยังคงมีประกายแสงแห่งไฟแค้น หากดวงตาของเขามีพลังพิเศษทีสามารถเจาะสิ่งใดก็ได้ที่เขามองผ่าน ร่างของ เย่ชีเหวิน ในตอนนี้ก็คงจะพรุนไปแล้วด้วยจำนวนรูที่นับไม่ถ้วน ความเกลียดชังที่เขามีให้กับ เย่ชีเหวิน นั้นมันมีมากเกินเสียกว่าจะสามารถบรรยายออกมาได้ ความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของเขาต่างก็ถูกบดขยี้ด้วยความพ่ายแพ้ให้กับ เย่ชีเหวิน ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ด้วยความรู้สึกเหล่านี้มันแทบทำให้เขาอยากตาย

หากเขาสามารถขายดวงวิญญาณให้กับปีศาจเพื่อแรกกับพลังอำนาจที่สามารถทำให้เขาฆ่า เย่ชีเหวิน ได้ เขาคงเลือกมันโดยไม่ลังเล!

หากแต่ภายในร่างของเขาในตอนนี้กลับไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเลย เย่ชีเหวิน ได้รับชัยชนะอย่างขาดลอย โดยการทำลาย ดันเถียน ของเขา ซึ่งทำให้ พลังปราณหยวน ของเขานั้นไม่สามารถควบคุมได้และทะลักออกมาผ่านทาง เส้นพลังลมปราณ ภายในร่างกาย เส้นพลังปราณ ทั่วร่างของเขาต่างเปิดออกตามจุดฝังเข็มภายในร่างทั้งหมด

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงไม่ยอมรับและไม่ได้ตระหนักถึงว่าถ้าหากเขามิได้รับการตอแย เย่ชีเหวิน อยู่ล่ำไป เขาก็คงไม่ต้องมาพบเจอกับชะตากรรมเช่นนี้ ภายในใจของเขาต่างเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชังในตัว เย่ชีเหวิน ถ้าไม่เป็นเพราะ เย่ชีเหวิน เขาก็คงไม่ต้องมาประสบกับชะตากรรมเช่นนี้และเขาก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวด!

เย่ชีเหวิน ไม่แม้แต่มองไปยัง จูปิ่งหยุน ที่นอนขดตัวอยู่บนพื้น ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่สามารถฆ่า จูปิ่งหยุน ต่อสายตาของผู้คนจำนวนมากได้ เพราะมันจะดูไม่ค่อยเหมาะสมเสียสักเท่าใดนัก แม้ว่า จูปิ่งหยุน จะกล่าวคุกคามและหาเรื่องที่จะสังหารเขาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าศิษย์จำนวนมากต่างก็ได้ยินเช่นเดียวกับเขา ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้เหล่าผู้อาวุโสจะต้องสอบถามถึงความเป็นมาอย่างแน่นอน

ซึ่งแน่นอน ว่า เย่ชีเหวิน ย่อมตอบทุกคำถามของพวกเขาด้วยความสัจจริง

          “ เย่ชีเหวิน นี่เป็นเพียงแค่การประลองเพื่อแลกเปลี่ยนฝีมือกันเท่านั้น เจ้าไม่คิดว่าเจ้าทำเกินไปหน่อยหรือไม่ ถึงได้หาญกล้ามาทำลายวรยุทธของศิษย์ที่อยู่ภายใต้อาณัติของสานุศิษย์ที่แท้จริงเช่นนี้! ” ในขณะนั้นเองก็ได้มีเสียงดังขึ้นส่งมาจากด้านบนสูงเหนือประลอง มันคือน้ำเสียงของ ลู่ยี่ฟาน

เย่ชีเหวิน แสยะยิ้ม ในที่สุด ลู่ยี่ฟาน ก็มิอาจทานทนไหว ภายในใจของเขาต่างครุ่นคิดถึงแผนการจำนวนมาก อย่าลือว่า ลู่ยี่ฟาน คือสานุศิษย์ที่แท้จริงที่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญใน[ระดับขั้นดินแดนลมปราณแท้จริง]คนแรกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าเขามั่นเหมาะที่จะได้รับความเคารพจากผู้อื่นอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน เฉกเช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญใน[ระดับขั้นดินแดนลมปราณแท้จริง]คนอื่น ๆ!

ด้วยแผนที่อยู่ในมือของ เย่ชีเหวิน เขาตั้งใจที่จะสร้างความเข้าใจผิดขึ้นและก่อให้เกิดกลายเป็นปัญหาใหญ่

รอยยิ้มอันชั่วร้ายได้ปรากฏบนใบหน้าของ เย่ชีเหวิน พร้อมกับกล่าวว่า “ ศิษย์พี่ลู่ คำพูดท่านนี่ช่างลำเอียงเสียจริง ทุกคนที่นี่ต่างก็รู้เห็นเป็นพยามว่าความแข็งแกร่งของ จูปิ่งหยุน นั้นได้รับมาจากการโกง แม้ว่าข้าเองจะไม่ทราบว่ามันเป็นสุนัขรับใช้ให้กับผู้ใดและผู้ใดกันที่เป็นคนคอยอยู่เบื้องหลังความแข็งแกร่งนี้ อีกทั้งยังพยายามที่จะคว้าตำแหน่งสูงสุดในการจัดอันดับศิษย์เมล็ดพันธุ์ฝ่ายใน หากข้ามีความแข็งแกร่งที่น้อยกว่านี้ มิใช่ว่าเป็นข้าเองหรือที่จะต้องเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำหรือกระทั่งบางทีข้าเองต่างหากที่จะต้องตกอยู่ในอันตราย! ”

เย่ชีเหวิน กล่าวคำเช่นนี้ออกมาเพื่อตั้งคำถามกับ ลู่ยี่ฟาน และใช่ความไม่พอใจของพวกศิษย์จำนวนมากมาเป็นโล่เพื่อปกป้องตนเอง ในขณะเดียวกันก็ได้นำพาความสนใจของผู้คนจำนวนมากล็อคแน่นไปที่ ลู่ยี่ฟาน จนกระทั่งในตอนนี้ ผู้คนเหล่านั้นต่างก็คิดกันไปแล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังความแข็งแกร่งของ จูปิ่งหยุน บางทีแล้วอาจเป็น ลู่ยี่ฟาน

          “ หุบปากจะบอกว่าเจ้าทำมันโดยที่มิได้ตั้งใจอย่างนั้นรึ ต่อหน้าผู้อาวุโสจำนวนมาก แม้กระทั่งเหล่าศิษย์ที่แท้จริง เจ้ายังขาดซึ่งความเคารพ เห็นได้ชัดว่านี่มันเป็นเพียงการแก้แค้นส่วนตัวของเจ้า! ” มันเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่า ลู่ยี่ฟาน นั้นไม่ฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งนั้น แม้ว่าเขาจะมีได้สนใจว่าเหล่าศิษย์พวกนั้นจะคิดเช่นไร หากแต่เขาสามารถรับรู้ได้ว่านี่มันเป็นแผนของ เย่ชีเหวิน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานั้นรู้สึกโกรธมากจนไม่สามารถนั่งติดเก้าอี้

          “ ศิษย์พี่ลู่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านเคยได้ยินหรือไม่ ถึงสิ่งที่เรียกว่า *กำปั้นนั้นหาได้มีตาไม่* ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ซ้ำยังกฎของการประลอง ก็มิได้ต่างไปจากลานประลองความเป็นและความตาย ศิษย์พี่ลู่ ลืมไปแล้ว? ” เย่ชีเหวิน ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ดังก้องและคลื่นเสียงที่รุนแรงก็ได้ถูกส่งผ่านไปยัง ลู่ยี่ฟาน โดยตรง

ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ศิษย์ทั้งหมดที่อยู่บริเวณโดยรอบถึงกับตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า เย่ชีเหวิน จะมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้ ถึงขั้นโต้เถียงกับศิษย์ที่แท้จริงอย่าง ลู่ยี่ฟาน อาจกล่าวได้เลยว่าความกล้าหาญช่างใหญ่หลวง!

..............

B1 : ยัง ยังไม่จบการประลองอีกหรอ
B2 : รู้สึกโคตรเบื่อ
B3 : อากาศโคตรร้อย
B4 : อยากเกินน้ำแข็งใส เย็น ๆ ชื่นใจ

7 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม